อุตสาหกรรม "ครบวงจร" ของซีพี

ธนินท์ เจียรวนนท์ ได้ทุ่มเทความพยายามไป ที่การผลิตอาหารสัตว์ในประเทศเนื่องจากเขาคาดการณ์ว่า มันจะเป็นธุรกิจ ที่โตเร็วด้วยความต้องการเนื้อไก่ และหมูในประเทศ ที่มีมากขึ้น หลังจากทำการศึกษาตลาด การขนส่ง และเทคโนโลยี การผลิตอย่างดีแล้ว ปี 2511 ธนินท์จึงตัดสินใจตั้งโรงงานผลิตอาหารสัตว์โดยใช้ชื่อว่า บริษัทเจียรวนนท์ จำกัด (บริษัทถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น บริษัทกรุงเทพอาหารสัตว์ จำกัด ในปี 2514) โรงงานของธนินท์ในตอนนั้น นับได้ว่าเป็นโรงงาน ที่ทันสมัยแห่งแรกของประเทศ อย่างไรก็ตามช่วงปี 2512-2520 รัฐบาลให้การสนับสนุนอุตสาห-กรรมผลิตอาหารสัตว์แบบทันสมัยผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จนเป็นเหตุให้คู่แข่งอย่างศรีไทยปศุสัตว์ และเบทาโกรเริ่มเข้ามาแข่งขันในธุรกิจนี้ กลุ่มซีพีรับมือกับการท้าทายครั้งนี้ด้วยยุทธศาสตร์สำคัญ 2 ประการนั่นคือ ทำให้สถานภาพของอุตสาหกรรมโรงงานอาหารสัตว์มั่นคงขึ้นด้วยการผลิตในปริมาณมากๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิต ในอีกด้านหนึ่ง ที่ทำก็คือ ใช้ระบบการผลิตแบบครบวงจรกับอุตสาหกรรมสัตว์ปีก

ด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลผ่านบีโอไอ กลุ่มซีพีสามารถตั้งโรงงานใหม่โรงแล้วโรงเล่าได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็สามารถขยายศักยภาพในการผลิตของโรงงาน ที่มีอยู่เดิมได้ด้วย ปรากฏการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของซีพี ในปริมาณการผลิตโดยรวมในไทยเพิ่มสูงขึ้นจาก 27% ในปี 2515 (จำนวน 1 บริษัทจากทั้งสิ้น 13 บริษัท) เป็น 40% ในปี 2520 (จำนวน 4 บริษัทจากทั้งสิ้น 34 บริษัท) และเป็น 50% ในปี 2524 (5 บริษัทจากทั้งสิ้น 38 บริษัท) ทั้ง 5 บริษัทดังกล่าวของซีพีเพียบพร้อมไปด้วยเครื่องจักรใหม่ๆ

ปัจจัย ที่สำคัญอีกตัวหนึ่งในการเติบโตของซีพีก็คือ ยุทธศาสตร์การผลิตแบบครบวงจรในอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ และแปรรูปปศุสัตว์ จากการสำรวจเมื่อปี 2525 พบว่า วัตถุดิบในการผลิตอย่างข้าวโพด ถั่วเหลืองป่น ปลาป่น มีต้นทุนสูงถึง 85% ของต้นทุนการผลิตรวมในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารสัตว์ ขณะที่อาหารสัตว์มีต้นทุนสูงถึง 75% ของต้นทุนการทำฟาร์มเลี้ยงไก่ทั้งหมด และลูกไก่มีต้นทุนเพียง 15% เท่านั้น เช่นเดียวกันโรงงานแปรรูปปศุสัตว์ ต้นทุนสำหรับการเลี้ยงไก่สูงถึง 85% ของต้นทุนทั้งหมด ในขณะที่ค่าจ้างแรงงาน และเงินเดือนมีต้นทุนเพียง 3% ของต้นทุนทั้งหมดเท่านั้น โครงสร้างต้นทุนในลักษณะดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ผู้ทำโรงงานผลิตอาหารสัตว์จะได้กำไรมากกว่าหากผสานกระบวนการผลิตในทุกขั้นเข้าด้วยกัน แรงกระตุ้นสำคัญอีกข้อหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดระบบการผสมผสานดังกล่าวก็คือ ธรรมชาติของผลิตภัณฑ์ กล่าวคือ ไก่เลี้ยงไม่ใช่ไก่ธรรมชาติ แต่เป็นผลผลิตของสายพันธุ์ ที่ผสมขึ้นในโรงเพาะเลี้ยง เพราะฉะนั้น ผู้ที่ต้องการเลี้ยงไก่ก็ต้องสั่งซื้อพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์มาจากต่างประเทศ นอกจากนี้เทคนิคของการเพาะเลี้ยงพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ดังกล่าวก็ถูกผูกขาดโดยบริษัทข้ามชาติในอเมริกา และยุโรปเพียงไม่กี่บริษัท ด้วยเหตุนี้การลงทุนภายในประเทศ เพื่อผลิตพ่อแม่พันธุ์ขึ้นเอง ย่อมกลายเป็นประเด็นหลักในระบบการผลิตแบบครบวงจรในอุตสาหกรรมสัตว์ปีก

ในปี 2513 กลุ่มซีพีเอาชนะปัญหาดังกล่าวได้ด้วยการจับมือร่วมทุนกับอาร์เบอร์ เอเคอร์ส อิงค์ (Arbor Acres Inc.) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตสายพันธุ์หลักรายใหญ่สุดของอเมริกา หลังจากนั้น ซีพีจึงได้ขยายเข้าไปในอุตสาหกรรมนี้อย่างเต็มตัว ด้วยการเริ่มผลิตวัตถุดิบสำหรับทำอาหารสัตว์ ทำฟาร์มเพาะเลี้ยงลูกไก่ สร้างโรงงานแปรรูปอาหาร และเนื้อไก่ ในกระบวนการนี้ ซีพีได้นำอุปกรณ์ใหม่ทันสมัยเข้ามาใช้ เพื่อผลิตไก่แช่แข็งคุณภาพสูง เทคโนโลยีตัวนี้เรียกว่า เทคโนโลยี IQF หรือ Individual Quick Freezing ซึ่งทำได้ด้วยความร่วมมือจากบริษัทเทรดดิ้ง เฟิร์มของญี่ปุ่น และอื่นๆ เทคโนโลยีดังกล่าว ทำให้ซีพีสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ของตนไปญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2516 เป็นต้นมา และด้วยพัฒนาการดังกล่าว อุตสาหกรรมสัตว์ปีกจึงกลายมาเป็นหนึ่งในอุตสาห-กรรมหลัก ที่มุ่งเน้นการส่งออก จนทำให้ไทยได้ขึ้นเป็นประเทศอุตสาหกรรมการเกษตรใหม่ (Newly Agro-Industrializing Country) หลังทศวรรษ 2510

ปัญหาอันดับท้ายสุด และยากที่สุด ที่ซีพีต้องเผชิญก็คือ จะหาเกษตรกรมาเลี้ยงไก่ส่งให้แก่ซีพีได้อย่างไร และซีพีจะต้องจัดระบบให้คนเหล่านี้อย่างไร ที่จริงก็เป็นไปได้ ที่ผู้ที่ผลิตอาหารสัตว์จะมาทำฟาร์มเลี้ยงไก่เสียเอง แต่นั่นหมายถึงเงินลงทุนจำนวนมหาศาล เนื่องจากต้องซื้อ ที่ดินด้วย อีกทั้งก็เป็นธุรกิจ ที่เสี่ยงเพราะราคาไก่ขึ้นลงไม่แน่นอน ผู้ผลิตอาหารสัตว์จึงน่าจะมีกำไรมากกว่า หากจัดการให้เกษตรกรอิสระดำเนินการเลี้ยงไก่ โดยให้ผ่านระบบการทำฟาร์มแบบมีสัญญาเชิงพาณิชย์ เกษตรกรเองก็จะได้รับผลประโยชน์จากระบบนี้เนื่องจากเป็นระบบ ที่มีสิ่งจำเป็นให้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นทุนเริ่มต้น ความรู้ด้านเทคนิค พันธุ์ไก่ อาหารสัตว์ วิตามิน วัคซีน และสิ่งจำเป็นอื่นๆ

นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ใหญ่ๆ อย่างธนาคารกรุงเทพ และนโยบายของรัฐบาลอีกหลายข้อก็ให้การสนับสนุนการพัฒนาความสัมพันธ์ ที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ตั้งแต่กลางปี 2513 เป็นต้นมา รัฐบาลเป็นผู้ริเริ่มโครงการให้สินเชื่อพร้อมสรรพ ที่มุ่งสนับสนุนภาคเกษตรกรรม ภายใต้โครงการดังกล่าว ธนาคารกลางจะเป็นผู้สั่งให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยเงินกู้อย่างน้อย 5% (ภายหลังเพิ่มเป็น 14%) ของยอดเงินกู้ทั้งหมดแก่เกษตรกรหรือผู้ที่อยู่ในธุรกิจการเกษตรอย่างกลุ่มซีพี ด้วยยุทธวิธี "สี่ประสาน" ที่เป็นการประสานความร่วมมือระหว่างรัฐบาล สถาบันการเงิน ผู้ผลิตในประเทศ และเกษตรกร ทำให้กลุ่มซีพีสามารถควบคุมอุตสาหกรรมสัตว์ปีกในไทยได้ทั้งหมด

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจตั้งแต่ช่วงต้นๆ ก็คือ กลุ่มซีพีไม่มีทั้งเทคโนโลยีการผลิต และประสบการณ์ในอุตสาหกรรมสัตว์ปีกสมัยใหม่เลย ซีพีต้องพึ่งพิงความช่วยเหลือจากบริษัทข้ามชาติจากอเมริกาในเรื่องการเพาะเลี้ยงพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ และจากบริษัทการค้าของญี่ปุ่นเมื่อต้องการพัฒนาตลาดใหม่ในญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม บริษัทต่างชาติก็ไม่สามารถครอบครองอุตสาหกรรมสัตว์ปีกในไทยได้ทั้งหมด เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ไม่มีทั้งความสามารถ ที่จะจัดระบบให้กับเกษตรกรรายย่อย และสายสัมพันธ์ ที่แนบแน่นกับธนาคารพาณิชย์ในท้องถิ่นก็ไม่มี เพราะฉะนั้น จึงมีเพียงกลุ่มซีพีเท่านั้น ที่สามารถสร้างอาณาจักรธุรกิจการเกษตรขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ ในอีกนัยหนึ่งก็นับเป็นความสำเร็จของซีพี ที่สามารถเชื่อมประสานทรัพยากรทางเศรษฐกิจ ที่มีอยู่ทั้งจากภายใน และภายนอกประเทศให้มาทำงานร่วมกันในกิจกรรมเดียวกันได้ ดังนั้น จึงสามารถเรียกได้ว่า กลุ่มซีพีเป็น "นักประดิษฐ์" ในแง่ ที่สามารถสร้างธุรกิจรูปแบบใหม่ในไทย ทั้งยังได้พัฒนาตลาดสินค้าพิเศษในญี่ปุ่น โดยเฉพาะเนื้อไก่ไร้กระดูก (รวมทั้งยากิโทริ) ซึ่งนำเข้าจากไทย และกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของขาไก่จากอเมริกา

หมายเหตุ
เนื้อหาข้างบนเรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของบทความเรื่อง "Modern Family and Corporate Capability in Thailand : A Case Study of the CP Group" เขียนโดย Akira Suehiro ในหนังสือ Japanese Yearbook on Business History 1997

Suehiro นักวิชาการชาวญี่ปุ่นคนนี้มีผลงานในการอรรถาธิบายการเติบโตของกลุ่มธุรกิจไทยมาแล้ว (โดยเฉพาะหนังสือ Capital Accumulation in Thailand 1855-1985) นับเป็นคนที่สนใจ และมีข้อมูลเมืองไทยอย่างมากมาย ซึ่งหายากในบรรดานักวิชาการไทย

ผู้เขียนเรื่องนี้ตั้งใจ และจงใจจะคัดตอน ที่เกี่ยวกับอรรถาธิบาย "สาระสำคัญ" ของธุรกิจซีพี ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในเชิงความคิด (โดยเฉพาะ Vertical Integration) มากกว่าเรื่อง "อัจฉริยภาพ" ของผู้นำ หรือ "สายสัมพันธ์" ของผู้นำ ซึ่งจะขยายความ ซึ่งกัน และกันกับกรณีศึกษาของฮาร์วาร์ดด้วย