![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
![]() ![]() |
|
หน้าร้อนมาถึงแล้ว ลมร้อนโชยชวนให้เราออกไปเที่ยวทะเล เด็ก ๆ ก็หยุดเรียน น่าจะเป็นช่วงเวลาที่สนุก แต่ในความรื่นเริง กลับแฝงไว้ด้วยวายร้ายที่ชื่อว่า โรคกลัวน้ำ หรือโรคพิษสุนัขบ้า
โรคนี้ทางภาคเหนือเรียกว่า โรคหมาว้อ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า rabies เป็นโรคสัตว์สู่คนที่เกิดได้ทุกภูมิภาคทั่วโลก นอกจากประเทศที่เป็นเกาะ พาหะของโรคคือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมโดยทั่วไป ทั้งสัตว์ป่า และสัตว์เลี้ยง ในประเทศไทยก็ถือว่าโรคนี้เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ มีสุนัข และแมวเป็นพาหะสำคัญ
โรคกลัวน้ำมีหลักฐานปรากฏ ตั้งแต่ ศตวรรษที่ 23 ก่อนคริสตกาล ใน The pre-Mosaic Eshmuna Code of Bablon คาดว่าน่าจะเป็นการอ้างอิงเกี่ยวกับ โรคนี้ จากสุนัขและมีผลไปถึงคนเมื่อถูกกัด ในอินเดียเองก็มีการพูดถึงโรคกลัวน้ำไว้ใน the Verdic Period of India (ศตวรรษที่ 30 ก่อนคริสตกาล) ในทำนองที่ว่า เป็นความตายจากพระเจ้า ที่เกิดจากสุนัข เพื่อน และทูตแห่งความตาย นอกจากนี้ในมหากาพย์อิเลียดก็มีพูดถึงหมาบ้าด้วย
อริสโตเติลเป็นคนหนึ่งที่คิดว่า โรคกลัวน้ำน่าจะติดต่อเฉพาะในสัตว์เท่านั้น คนแรกที่อธิบายการติดโรคกลัวน้ำในคนเป็นชาวโรมันชื่อ ออลุส คอร์นีเลียส เซลซุส (ศตวรรษแรกของคริสตกาล) เขาเป็นผู้คิดคำว่า hydrophobia ซึ่งหมายถึง กลัวน้ำ และเขาคิดว่า การติดต่อของโรคน่าจะผ่านทางน้ำลายของสัตว์
รายงานการติดโรคนี้จากค้างคาวเป็นครั้งแรกเกิดขึ้นที่ทวีปอเมริกา เมื่อ บิชอป เพทรุส มาร์ไทร์-แองเกลอเรียส พบว่าทหารสเปนมีอาการบ้าหลังจากโดนค้างคาวกัด
นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าน้ำลายเป็นพาหะในการแพร่โรคกลัวน้ำมานาน แต่ก็ต้องรอจนถึงปี ค.ศ.1804 เมื่อนักวิทยาศาสตร์เยอรมันที่ชื่อ ซิงเก สามารถทำให้กระต่าย และไก่ ติดเชื้อโรคกลัวน้ำจากน้ำลายของสุนัขได้ และในปี ค.ศ.1813 ฟรานคอยส์ แมเจนได กับ กิลเบิร์ต เบรสเชต ก็ใช้กระบวนการเดียวกันในการทำให้สุนัขติดเชื้อ โดยใช้น้ำลายจาก คน ที่ติดโรคกลัวน้ำได้สำเร็จ สุดท้ายในปี ค.ศ.1879 กัลเทียร์ ก็สามารถทำให้ค้างคาวติดโรคได้โดยการถ่ายเชื้อจากสัตว์ตัวหนึ่ง ไปยังอีกตัวหนึ่งเป็นทอด ๆ
ในปี ค.ศ.1884 หลุยส์ ปาสเตอร์ ขณะที่ทำการศึกษาเรื่องโรคกลัวน้ำอยู่นี้ ก็มีโอกาสฉีดวัคซีนให้กับเด็กคนหนึ่งเป็นผลสำเร็จ วิธีการของปาสเตอร์ยังคงใช้กันจนปัจจุบัน และด้วยวิธีการนี้ที่พัฒนาขึ้น อันตรายของโรคนี้ต่อมนุษย์ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ต้องถือว่า โลกเป็นหนี้บุญคุณ หลุยส์ ปาสเตอร์อย่างมากทีเดียว
สำหรับรายงานการกระจายของโรค ข้อมูลจากปี ค.ศ.1981 มีประเทศที่ไม่มีโรคนี้ดังนี้
แอฟริกา : จิบอติ (Djibouti) , เลโซโท (Lesotho) , มอริเชียส (Mauritius)
อเมริกา : บาฮามาส , บาร์บาโดส , จาไมก้า , สุรินัม , เบอร์มิวด้า , เนเทอร์แลนด์ แอนทิเลส
เอเชีย : บาห์เรน , บรูไน , ญี่ปุ่น , มาเลย์เซีย-ซาบาห์ , โอมาน , กาตาร์ , สิงคโปร์ , สหรัฐอาหรับเอมิเรต , ไต้หวัน
ยุโรป : บัลแกเรีย , ไซปรัส , หมู่เกาะฟาโร , ฟินแลนด์ , ยิบบรอลตา , ไอซ์แลนด์ , ไอร์แลนด์ , มอลตา , สหราชอาณาจักร , เนเทอร์แลนด์ , นอร์เวย์ , โปรตุเกส , สเปน , สวีเดน
โอเชีนเนีย : ออสเตรเลีย , ฟิจิ , กวม , นิวคาเลโดเนีย , นิวซีแลนด์ , ปาปัวนิวกีนี , โซมัวตะวันตก , ทองโก
ไปหน้า
1 - เปิดเรื่อง
2 - วายร้ายตัวจริง
3 - 5 วิธีแห่งการติดต่อของโรค
4 - สัญญาณอันตราย
5 - จะจัดการอย่างไร ?
6 - อย่าเปิดโอกาส