![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
![]() ![]() |
|
วิทยาศาสตร์แห่งรัก
ถ้าจะว่ากันไปแล้ว เรื่องของความรักก็นับเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ยิ่ง ที่สามารถทำให้คนสองคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ได้มาใกล้ชิดกัน ทำความรู้จักกัน ไว้วางใจกัน และผูกพันชีวิตจิตใจเข้าไว้ด้วยกัน ดังเช่นคนโบราณได้เปรียบ เปรยให้ความรักเป็นเรื่องของ บุพเพสันนิวาส ที่ดลบันดาลให้เกิดรักแรกพบ แต่จะแปลกใจ ไหม หากนักวิทยาศาสตร์จะบอกว่า ความจริงแล้ว เรื่องของความรักก็มีวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยว ข้องอยู่ด้วย เพราะรักแรกพบนั้น อาจเกิดขึ้นจากความพึงพอใจในสารเคมี ที่หนุ่มสาวปล่อยออก มาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็เป็นได้ และนี่ก็คือ วิทยาศาสตร์ของความรัก (science of love)
|
มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อยู่หลายชิ้น ที่กล่าวถึงการส่งข้อความ หรือข่าวสารผ่านทาง สาร เคมีที่หลั่งออกมาในสัตว์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการสื่อสาร ระหว่างสมาชิกในพงศ์พันธุ์ของพวกมัน ในเรื่องของ การบอกแหล่งที่พบอาหาร การแสดงความมีอำนาจ การแสดงอาณาเขต รวมไปถึง การบ่งบอกความต้องการกิจกรรมทางเพศ สารเคมีที่ว่านี้เป็น สารสื่อสัมพันธ์ ที่ถูกปล่อยออก มาเพียงเล็กน้อย และแทบจะมองไม่เห็น มันคือสารเคมีที่มีชื่อเรียกว่า ฟีโรโมน (pheromone)
การสังเกตการสื่อสาร ผ่านทางสารเคมีในสัตว์เป็นครั้งแรก ทำโดยนักธรรมชาติวิทยาชาว ฝรั่งเศสที่ชื่อ Jean-Henri Fabre ในช่วงปี พ.ศ. 2413-2422 โดย Fabre พบว่า เมื่อเขาจับผีเสื้อกลางคืนตัวเมีย มาขังไว้ในกรงภายในห้องปฏิบัติการ จะมีผีเสื้อกลางคืนตัวผู้ บินทางไกลมา หลายกิโลเมตร เพื่อเข้ามาทักทายกับผีเสื้อกลางคืนตัวเมียที่ถูกขังไว้นี้ Fabre จึงตั้งข้อสงสัยว่า ผีเสื้อกลางคืนตัวเมีย อาจจะปล่อยกลิ่นบางอย่าง เพื่อดึงดูดผีเสื้อกลางคืนตัวผู้มา แต่ Fabre ก็ ไม่ได้ทำการทดลองอะไรต่อ เพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยนี้
ต่อมาในปี พ.ศ. 2502 นักเคมีชาวเยอรมันชื่อ Adolf Butenandt ได้ตรวจสอบ แอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง พบว่าเป็นสารดึงดูด ในตัวไหมของผีเสื้อกลางคืน การค้นพบนี้ ปูทางไป สู่การวิจัยในเรื่องของฟีโรโมนในเวลาต่อมา ทำให้นักกีฏวิทยาพบว่า การสื่อสารผ่านทาง ฟีโรโมนนั้น เป็นเรื่องธรรมดา ๆ ในสังคมแมลง ไม่ว่าจะเป็นผีเสื้อกลางคืน มด ปลวก หรือผึ้ง
ไม่เพียงแต่ในแมลงเท่านั้น Charles Wysocki นักประสาทวิทยาแห่ง Monell Chemical Sense Center ในฟิลาเดเฟียยังกล่าวว่า ในสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำบางชนิด สัตว์ เลื้อยคลาน และในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนใหญ่ จะพบอวัยวะส่วนที่เรียกว่า vomeronasal organ หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า VNO ในโครงสร้างของจมูก Wysocki ได้ใช้เวลากว่า 20 ปีในการศึกษาโครงสร้าง และติดตามการทำงานของ VNO ในสัตว์หลายชนิด จนพบว่า สัตว์หลายชนิดมี VNO ที่ต่อสายตรงไปสู่สมอง ส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเร่าร้อนทางอารมณ์ ความรู้สึก และความจำ รวมทั้งยังต่อไปสู่สมองส่วนไฮโปทาลามัส อันเป็นสมองส่วนที่ ไม่เพียงแต่เป็น ศูนย์ควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ อย่างเช่น ควบคุมการเต้นของหัวใจ ควบคุมอุณหภูมิของ ร่างกาย ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนของต่อมใต้สมอง แต่ยังรวมไปถึง การตอบสนองต่อความกลัว ความอยากอาหารด้วย จึงมีการสันนิษฐานกันว่า VNO นี้น่าจะเป็นส่วนที่รับรู้ข่าวสารต่าง ๆ จากฟีโรโมน ที่ผ่านมาตามอากาศเข้าสู่จมูก และไปยังสมอง
สำหรับในมนุษย์นั้น ยังมีข้อถกเถียงในเรื่องของ VNO เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ พบว่า ส่วนของ VNO ในมนุษย์จะพบในช่วงวัยที่เป็นตัวอ่อน แต่ไม่พบในช่วงวัยผู้ใหญ่ นั่นแสดงว่า VNO อาจเป็นอวัยวะที่หดหายไปตามกาลเวลา อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มมี ความคิดว่า VNO อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตัวเอง หรือบางที การรับรู้ฟีโรโมนของมนุษย์ อาจทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องมี VNO ก็ได้ เพราะตัวรับกลิ่นเล็ก ๆ ภายในเนื้อเยื่อของจมูกที่เรียก ว่า olfactory epithelium นั้นก็สามารถตรวจจับสารเคมีที่มาตามอากาศ ผ่านทางเส้นประสาทที่ เชื่อมต่อไปสู่เส้นประสาทที่กะโหลกศีรษะคู่ที่ห้า (trigeminal nerve) ซึ่งสามารถรับรู้สารเคมีที่ ผ่านเข้ามาในช่องปาก และจมูกได้ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์ยังพบเส้นประสาทส่วน ที่เรียกว่า เส้นประสาทส่วนปลาย (nervus terminalis) ที่เชื่อมต่อกับจมูก และฐานสมองส่วนหน้า ซึ่งเส้นประสาทนี้ก็สามารถนำสัญญาณต่าง ๆ ที่ได้รับไปสู่สมองได้ ทั้งหมดนี้จึงพอกล่าวได้ว่า มนุษย์เราก็มีความสามารถ ในการรับรู้ข่าวสารจากฟีโรโมน ที่มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ได้ใน ทางใดทางหนึ่งเช่นกัน ดังนั้น หากเมื่อฟีโรโมน สามารถส่งผลต่อพฤติกรรมสัตว์ต่าง ๆ ดังเช่น ที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ทำไมมันจะมีผลต่อมนุษย์บ้างไม่ได้ล่ะ?
|
ในสวิสเซอร์แลนด์ มีการทดลองเกี่ยวกับ อิทธิพลของสารเคมีที่ปล่อยออกมาจากมนุษย์ และ มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ โดยนักสัตววิทยาชื่อ Claus Wedekind ซึ่งเขาได้ทดลอง ให้เสื้อยืดคอกลมแก่อาสาสมัครชาย คนละตัว รวม 44 คน และบอกให้อาสาสมัครชาย สวมเสื้อนี้ไว้เป็น เวลา 2 คืน โดยให้อาสาสมัครชาย ใช้สบู่ไร้กลิ่น กับโลชั่นหลังโกนหนวดที่ตรียมไว้ เพื่อไม่ ให้มีกลิ่นแปลกปลอม จากน้ำหอมประดิษฐ์ มากล้ำกรายกลิ่นตัวธรรมชาติที่อาสาสมัครชายแต่ละ คนสร้างขึ้น
ก่อนหน้าที่จะทำการทดลองนี้ Wedekind เคยทดลองพบว่า หนูทดลองชอบที่จะจับคู่ผสม พันธุ์ กับหนูที่มีระบบภูมิคุ้มกันทางยีน ที่แตกต่างกันมากกว่า ธรรมดานั้น ระบบภูมิคุ้มกันจะ เป็นตัวทำลายเซลล์แปลกปลอม รวมถึงเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกายอยู่แล้ว ดังนั้น หากร่าง กายของสัตว์รุ่นลูก มีระบบภูมิคุ้มกันที่หลากหลาย ที่ได้รับจากรุ่นพ่อแม่ ก็ย่อมที่จะทำให้มี โอกาสดำรงชีวิตอยู่สู้โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้มากกว่า
ย้อนกลับไปที่ การทดลองในอาสาสมัครที่เป็นมนุษย์ Wedekind ได้นำเอาเสื้อที่มีกลิ่นตัว ธรรมชาติดังกล่าว จากอาสาสมัครชายไปใส่ในกล่องเปล่า จากนั้นจึงให้อาสาสมัครหญิง 49 คนมาประเมินคุณภาพกลิ่น โดยอาสาสมัครหญิงแต่ละคน จะต้องสูดดมกลิ่นจากกล่อง 7 กล่อง คือ เป็นกล่องที่ใส่เสื้ออาสาสมัครชาย ที่มีระบบภูมิคุ้มกันทางยีนที่ ใกล้เคียงกับอาสาสมัครหญิง เสีย 3 กล่อง เป็นกล่องที่ใส่เสื้ออาสาสมัครชาย ที่มีระบบภูมิคุ้มกันทางยีน ที่แตกต่างกับอาสา สมัครหญิงอีก 3 กล่อง และอีก 1 กล่องจะเป็นกล่องที่ใส่เสื้อตัวใหม่เอี่ยม ที่ยังไม่ผ่าน การสวมใส่โดยอาสาสมัครชายมาก่อน เพื่อใช้กล่องนี้ เป็นตัวควบคุมการทดลอง
จากการทดลองพบว่า อาสาสมัครหญิงจะตอบสนองต่อกลิ่นเสื้อตามที่ Wedekind คาดไว้ คือ คุณเธอจะชอบกลิ่นเสื้อของอาสาสมัครชาย ที่มีระบบภูมิคุ้มกันทางยีนที่แตกต่างกันมากกว่า ผลจากการทดลองนี้ มีความหมายยิ่ง และยังสอดคล้องกับรายงานจำนวนมาก ที่แสดงให้เห็น ว่า หนุ่มสาวที่เป็นคู่ตุนาหงันกันนั้น โดยมากมักเป็นพวกที่มี ระบบภูมิคุ้มกันทางยีนที่แตกต่างกัน ในทางกลับกัน กลิ่นเสื้อของอาสาสมัครชายที่มี ระบบภูมิคุ้มกันทางยีนที่ใกล้เคียงกับอาสา สมัครหญิงนั้น จะทำให้คุณเธอนึกถึงพ่อ พี่ชาย หรือน้องชายเสียมากกว่า สิ่งนี้ย่อมแสดงให้ เห็นว่า สารเคมีที่ออกมาจากผิวหนังมนุษย์ หรือกลิ่นตัว อาจสามารถสื่อสารรักระหว่างคู่ ชายหญิงได้ โดยบอกความแตกต่าง หรือความคล้ายคลึงของระบบภูมิคุ้มกันทางยีนของร่างกาย ดุจดังเป็น กลิ่นตัวยั่วใจ วิธีการคัดเลือกคู่เช่นนี้ จะมีผลดีส่วนหนึ่งทางด้านความหลากหลาย ของระบบภูมิคุ้มกันทางยีน ที่จะเกิดขึ้นในรุ่นลูกด้วย จึงนับเป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของ การคัดเลือกตามธรรมชาติเลยทีเดียว
จูบนั้นสำคัญไฉน คุณเชื่อหรือไม่ว่า ในการจูบกันอย่างดูดดื่มแต่ละครั้งนั้น คุณอาจต้องใช้พลังงานสูงถึง 150 คาลอรี ซึ่งประมาณค่าได้เท่า ๆ กับ พลังงานที่คุณใช้ในการว่ายน้ำนานราว 15 นาที หรือการปีนเขา โดยมีสัมภาระอยู่บนหลังคุณ หนักราว 20 กิโลกรัม นอกจากนี้ ในการจูบอย่างพร่ำเพรื่อนั้น ยังนำมาซึ่ง การแลกเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในปาก ของคู่จูบ ไม่ว่าจะเป็น แบคทีเรีย และไวรัสกว่า 250 ชนิด น้ำราว 9 มิลลิกรัม ไขมันอีกประมาณ 0.711 มิลลิกรัม สาร albumen อีก 0.7 กรัม รวมทั้งสารอินทรีย์อื่น ๆ อีกประมาณ 0.18 มิลลิกรัม....อู้ฮู! ข้อมูลที่ได้นี้ ก็เป็นข้อมูลจากปากของฝรั่งเขา ปากคนไทย จะอู้ฮูขนาดนี้หรือไม่ ก็คงต้องวานให้นักวิทยาศาสตร์ไทย ช่วยศึกษาดูที... |
|
นอกจากกลิ่นแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า อาหาร หรือขนมบางอย่าง อาจเป็นตัวเข้าไปยุ่ง เกี่ยวกับ การส่งสัญญาณสารเคมีภายในร่างกายมนุษย์ ทำให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจได้ เช่นกัน โดยมีงานศึกษาวิจัย ตลอดจนทฤษฎีที่กล่าวว่า ขนมหวานอย่าง ช็อคโกแลต อาจมีส่วนเกี่ยวข้องใน เรื่องนี้...
ตัวอย่างของเรื่องนี้ก็เช่น การพบว่า ในช็อกโกแลต ประกอบด้วยสาร phenylethylamine หรือที่เรียกย่อ ๆ กันว่า PEA ซึ่งเป็นสารที่มีส่วนกระตุ้นความดันเลือด และ อัตราการเต้นของหัวใจ ให้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ช็อคโกแลตที่เรากินเข้าไป จึงมีส่วนในการปลุก เร้าความรู้สึก รวมถึงอารมณ์รักได้ส่วนหนึ่ง หรือในงานศึกษาวิจัยบางชิ้นก็พบว่า ใน ช็อคโกแลตจะมีสาร theobromine อยู่ ซึ่งสารนี้มีฤทธิ์คล้ายคลึงกับคาเฟอีน แต่มีฤทธิ์อ่อนกว่า จึงสามารถกระตุ้นให้มนุษย์เรา เกิดความตื่นตัวได้ หรือในบางสมมุติฐานก็กล่าวว่า ช็อคโกแลตที่ เรากินกันเข้าไปนั้น สามารถกระตุ้นให้ร่างกายเราสร้างสาร endorphins อันเป็นสารที่ก่อให้ เกิดความยินดี และช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้
ถ้าทั้งหมดข้างต้นเป็นความจริง ช็อคโกแลตก็คงเป็นขนมแนะนำอย่างหนึ่ง สำหรับวัน วาเลนไทน์ เพราะดูมันจะเหมาะไปหมด สำหรับทั้งคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก รวมถึง คนที่อกหัก ที่น่าจะกินช็อกโกแลต บรรเทาอาการเจ็บปวด จากการถูกหักอกเสียบ้าง
|
มาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนอาจสงสัยว่า วิทยาศาสตร์ของความรักเหล่านี้ รู้แล้วได้ ประโยชน์อะไร? แน่นอน! คำตอบในปัญหานี้ก็คือ หนึ่ง ประโยชน์ในเรื่องของความรู้พื้นฐาน ที่เราได้รับ เช่น คำตอบในแง่มุมใหม่ สำหรับคำถามเกี่ยวกับรักแรกพบในหนุ่มสาวว่า อาจจะไม่ขึ้น อยู่กับการมอง ผ่านทางรูปร่างหน้าตาแต่เพียงอย่างเดียว แต่ส่วนหนึ่งอาจเกิดขึ้นจาก การสัมผัส สารรักจากสารเคมี ที่ทั้งคู่ปล่อยออกมา อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็เป็นได้ และสอง ประโยชน์จาก การประยุกต์ใช้ความรู้พื้นฐานเหล่านี้ อย่างเช่น ความรู้จากการศึกษาวิจัยเรื่องฟีโรโมน ในแมลง นั้น สามารถช่วยให้มนุษย์เรา ได้วิธีกำจัดแมลงแบบใหม่ โดยไม่ต้องพึ่งพายาฆ่าแมลง แต่ใช้วิธี การสร้าง กับดักแห่งความรัก โดยพ่นฟีโรโมนที่แมลงพึงใจ ในบริเวณที่เราต้องการล่อให้มัน มาติดกับ แล้วจึงค่อยกำจัดมันทีหลัง แบบเชือดนิ่ม ๆ
หรือการใช้ฟีโรโมนในมนุษย์เรานั้น ก็มีนักวิทยาศาสตร์หัวใสอย่าง David Berliner นำสารเคมีที่สกัดได้จาก เซลล์ผิวหนังมนุษย์ในส่วนแขน และขา ซึ่งเชื่อกันว่ามีฟีโรโมนอยู่ มาทำเป็นน้ำหอมฟีโรโมนมนุษย์ ออกจำหน่าย โดยน้ำหอมฟีโรโมนมนุษย์ขวดแรกนั้น มาจาก บริษัท Erox Corp. ที่เขามีส่วนร่วมก่อตั้ง ภายใต้ชื่อทางการค้าของน้ำหอมว่า Realm ซึ่งน้ำ หอมฟีโรโมนมนุษย์นี้ ในน้ำหอมสำหรับผู้ชาย ก็จะเป็นน้ำหอมที่ประกอบด้วย ฟีโรโมนจาก สารสกัดผิวหนังผู้หญิง และในน้ำหอมสำหรับผู้หญิง ก็จะเป็นน้ำหอมที่ประกอบด้วยฟีโรโมน จากสารสกัดผิวหนังผู้ชาย อย่างไรก็ตาม น้ำหอมนี้ไม่ได้ทำให้เพศตรงข้าม หันมาสนใจผู้ใช้น้ำ หอมมากขึ้น เพียงแต่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกผ่อนคลาย และมีความกระปรี้กระเปร่า เชื่อมั่นในตัวเอง มากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นเอง
สำหรับการศึกษา ในเรื่องของสารเคมี ที่มีผลต่อการปลุกเร้าความรู้สึกอย่าง PEA นั้น ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ ก็พยายามที่จะศึกษา และสังเคราะห์ PEA เพื่อผลิตมันออกเป็นตัวยาที่ จะช่วยกระตุ้นความรู้สึก หรือทำให้ผู้ใช้เกิดความผ่อนคลาย สบายใจ ซึ่งก็น่าจะมีประโยชน์ สำหรับผู้ป่วย ที่มีปัญหาทางด้านจิตใจ หรือสมอง
ส่วนเรื่องของยาเสน่ห์ ที่จะทำให้เพศตรงข้ามมาหลงรักนั้น ยังไม่มีรายงาน เพราะเรื่อง ของความรักที่จะมีให้กันนั้น ถ้าเป็นการใช้สารเคมี บังคับพฤติกรรมฝ่ายตรงข้ามโดยเจตนาแล้ว ก็คงจะไม่น่าภูมิใจสักเท่าไร เพราะความรักที่แท้จริง และยืนยาวนั้น คุณย่อมต้องใฝ่หามาด้วย ตัวตน และสารเคมีต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบอยู่ในตัวคุณจริง ๆ เท่านั้น ถึงจะน่าภาคภูมิใจ... จริงไหม?