แรงโน้มถ่วง(Gravity Force)เป็นแรงที่เกิดจากวัตถุสองตัวกระทำต่อกันโดยขึ้นกับค่า G |
และแปรผกผันต่อระยะห่างระหว่างวัตถุทั้งสอง เนื่องจากแรงโน้มถ่วงเป็นแรงที่ดึงวัตถุทั้ง |
สองเข้าหากัน ดังนั้น Antigravity คือแรงที่ผลักวัตถุทั้งสองออกจากกันในลักษณะเดียวกับ |
การผลักเมื่อวางแม่เหล็กขั้วเดียวกันใกล้กัน |
ในทางทฤษฎีแล้ว Antigravity จะเกิดขึ้นต่อเมื่อมวลของวัตถุใดๆ มีค่าเป็นลบ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ |
ในทางปฏิบัติ ดังนั้น Anitgravity จึงมีความหมายถึงการสร้างแรงขึ้นมาเพื่อต่อต้านกับแรงโน้มถ่วง |
โดยวัตถุยังคงมีมวลเป็นบวกอยู่ |
Antigravity จะปฎิวัติระบบการเดินทางทางอากาศ ในปัจจุบันเครื่องบินสามารถบินในอากาศได้โดย |
อาศัยแรงยกที่ปีกทั้งสองตามกฎของ Bournulli ดังนั้นเครื่องบินจึงไม่สามารถที่จะลอยนิ่งอยู่กับที่ได้ |
และการเปลี่ยนทิศทางไม่สามารถทำได้ทันทีทันใด สำหรับอากาศยานที่ใช้ระบบ Antigravity นั้นการลอย |
อยู่กับที่สามารถทำได้โดยสมดุลแรงโน้มถ่วงและการเปลี่ยนแปลงทิศทางสามารถทำได้ทันทีโดยการสร้าง |
แรงขึ้นมากระทำในทิศทางที่ตรงกันข้าม |
ความสัมพันธ์ระหว่างสนามไฟฟ้า, สนามแม่เหล็กและสนามโน้มถ่วง
สนามไฟฟ้า, สนามแม่เหล็กและสนามโน้มถ่วงเกิดจากของแรงดันไฟฟ้า, แรงเเม่เหล็กและแรงโน้มถ่วง |
ตามลำดับ โดยปกติแรงดันไฟฟ้าจะก่อให้เกิดแรงแม่เหล็กตามทฤษฎีของ Maxell ซึ่งทำให้เกิด |
เครื่องกำเนิดกระแสไฟฟ้าเมื่อขดลวดวิ่งผ่านสนามแม่เหล็ก หรือมอเตอร์เมื่อมีกระแสไฟฟ้าตัดผ่าน |
สนามแม่เหล็ก ในปัจจุบันยังไม่สามารถหาความสัมพันธ์ระหว่างแรงแม่เหล็กและแรงโน้มถ่วงได้ |
อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างแรงดันไฟฟ้าและแรงโน้มถ่วงได้ถูกค้นพบโดยการใช้ตัวเก็บ- |
ประจุในการทดลองในปี ค.ศ. 1923 ซึ่งเรียกว่า The Biefield-Brown Effect |
ดร. อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้ใช้ช่วงเวลาสุดท้ายในการค้นหาสมการซึ่งจะรวมแรงทั้งสี่คือแรงโน้มถ่วง |
แรงแม่เหล็กไฟฟ้า, แรงนิวเคลียร์อย่างแข็ง(Strong nuclear force)และแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน |
(Weak nuclear force) เข้าด้วยกันซึ่งทำให้สามารถทำการเปลี่ยนแรงใดแรงหนึ่งไปเป็นอีกแรงหนึ่ง |
ได้ ซึ่งเรียกว่า ทฤษฎีสนามรวม(Unified field theory) อย่างไรก็ตามดร. ไอน์สไตน์ได้เสียชีวิต |
ก่อนที่จะทำการค้นคว้าสำเร็จ |
The Biefield-Brown Effect
ในการวิจัยรังสี X โดยหลอดคูลลิดจ์(Coolidge Tube) นักฟิสิกค์ชาวอเมริกัน, โทมัส ทาวน์เซ็นด์ บราวน์ |
(Thomus Townsend Brown), ได้ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างแรงโน้มถ่วงและแรงดันไฟฟ้า |
โดยที่ทุกๆครั้งที่เปิดเครื่อง หลอดคูลลิดจ์จะขยับไปมาเหมือนกับมีแรงบางอย่างมากระทำต่อหลอด |
หลังจากนั้นบราวน์ได้ทำงานร่วมกับศาสตราจารย์ ดร. พอล อัลเฟร็ด ไบเฟลด์(Dr. Paul Alfred Bifield) |
ที่มหาวิทยาลัยเดนิสัน โดยใช้ตัวเก็บประจุไฟฟ้า(Condenser)ในการทดลอง ผลลัพธ์ที่ได้จากการป้อน |
แรวดันไฟตรงเข้าสู่ตัวเก็บประจุคือตัวเก็บประจุจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางของขั้วบวก ซึ่งต่อมารู้จักกันในชื่อ |
The Biefield-Brown Effect |
ในการทดลองเพื่อทดสอบเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงนั้น ตัวเก็บประจุถูกวางที่ปลายด้านหนึ่งของตาชั่ง |
โดยที่อีกด้านหนึ่งมีตุ้มน้ำหนักอยู่เพื่อให้ตาชั่งสมดุล เมื่อป้อนแรงดันไฟตรงเข้าโดยให้ขั้วบวกอยู่ด้านบน |
น้ำหนักของตัวเก็บประจุจะลดลง โดยตาชั่งจะเอียงลงทางด้านตุ้มน้ำหนัก และเมื่อสลับขั้วน้ำหนัก |
ของตัวเก็บประจุจะเพิ่มขึ้นโดยตาชั่งจะเอียงลงด้านตัวเก็บประจุ แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง |
สนามไฟฟ้าสถิตย์และสนามโน้มถ่วง |
ในปี ค.ศ. 1953 ดร. บราวน์ได้ทำสาธิตการทดลองระบบขับเคลื่อนโดยใช้ Biefield-Brown Effect |
โดยใช้ยานรูปจานขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสองฟุตทำหน้าที่คล้ายตัวเก็บประจุ เมื่อป้อนแรงดัน |
ประมาณ 50,000 โวลท์ที่ 50 วัตต์เข้าไป ยานรูปจานนั้นจะลอยขึ้นโดยเปล่งแสงสีน้ำเงินออกมาพร้อมกับ |
เสียงหึ่งขึ้นด้วย ยานรูปจานจะเคลื่อนที่เป็นวงกลมด้วยความเร็วประมาณ 17 ฟุตต่อวินาที อย่างไรก็ดี |
นักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมชมการสาธิตอ้างว่าพลังงานที่เกิดขึ้นเป็นเพียง "พายุไฟฟ้า(Electric Wind)" |
เท่านั้น เมื่อไม่มีผู้ให้การสนับสนุน ดร. บราวน์ได้เดินทางไปยังยุโรปและได้ทำการทดลองขึ้นที่ประเทศ |
ฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1955 ภายได้ความช่วยเหลือจากรัฐบาลฝรั่งเศส โดยได้เพิ่มขนาดของจานและทำการ |
ขับเคลื่อนในห้องสูญญากาศ ผลลัพธ์ที่ได้ยังคงเก็บเป็นความลับของรัฐบาลฝรั่งเศส |
วิธีการสร้างตัวเก็บประจุและแรงดันไฟฟ้าที่เหมาะสมเพื่อให้เป็นไปตาม Biefield-Brown Effect นั้น |
ไม่ได้รับการเปิดเผยจาก ดร. บราวน์ อย่างไรก็ตามมีองค์ประกอบห้าประการที่เป็นส่วนสำคัญคือ |
Biefield-Brown Effect เป็นผลมาจากความสัมพันธ์ระหว่างสนามไฟฟ้าสถิตย์และแรงโน้มถ่วง |
ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นระบบ Electrogravitics เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนวัตถุดังจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป |
The Electrogravitics theory
สนามโน้มถ่วงไฟฟ้า(Electrogravity field) เกิดจากการเคลื่อนที่ของประจุบวกหรือลบ อย่างไร |
ก็ตาม สนามโน้มถ่วงไฟฟ้านี้จะมีค่าน้อยมากเมื่อเทียบกับสนามไฟฟ้าสถิตย์และสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้น |
รูปข้างล่างนี้แสดงลักษณะของสนามโน้มถ่วงไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเมื่อ electron มีการเคลื่อนที่ |
วัตถุทุกชนิดจะกำเนิดสนามโน้มถ่วงไฟฟ้า เนื่องจากการเคลื่อนที่ของ electron รอบนิวเคลียส |
โดยมีทิศทางพุ่งออกจากวัตถุนั้นๆ ดังนั้นอนุภาคที่มีประจุเป็นลบจะถูกดึงดูดเข้าสู่วัตถุนั้นและ |
อนุภาคที่มีประจุเป็นบวกจะถูกผลักออกไป ดังแสดงในรูปด้านล่าง |
The Electrogravitics Propulsion System
การสร้างระบบขับเคลื่อนแบบ Electrogravitics นั้นทำได้โดยใช้ electrode สองตัวต่อ |
กับกับแต่ละด้านของ Dielectric เช่นเดียวกับในตัวเก็บประจุและป้อนแรงดันไฟตรงเข้าที่ electrode |
ซึ่งอยู่ในแนวของแรงที่ต้องการให้เกิดขึ้น โดยปกติคือแนวแกนของ electrode ทั้งสองนั้นเอง |
แรงขับเคลื่อนจะเกิดขึ้นเมื่อ gradient ของสนามไฟฟ้าสถิตย์ระหว่าง electrode ทั้งสองไม่เป็นเชิงเส้น |
ซึ่งเกิดจากความแตกต่างในเชิงกายภาพของ electrode ทั้งสอง, แรงดันไฟฟ้าระหว่าง electrode, |
ขนาดของ Dielectric และประเภทของ Dielectric ที่ใช้ แรงขับเคลื่อนที่มากขึ้นสามารถทำได้ |
โดยปรับรูปแบบของ flux ของสนามไฟฟ้าสถิตย์ ซึ่งสามารถทำได้โดยกำหนดรูปแบบของ electrode |
เมื่อให้ electrode ที่ต่อกับขั้วบวกของแรงดันมีลักษณะเป็น parabola และ electrode ที่เหลือวาง |
อยู่ในแนวโฟกัสของ electrode ที่เป็น parabola จะได้แรงขับที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสนามไฟฟ้าสถิตย์ที่ |
จุดโฟกัสจะมีค่าสูงมาก เมื่อ electrode ทั้งสองถูกเชื่อมต่อเป็นชิ้นเดียวกับ Dielectric จะทำให้เกิด |
แรงยกขึ้นและสามารถลอยบนอากาศได้ |
นอกจากนี้แล้วการเพิ่มความไม่เป็นเชิงเส้นของสนามไฟฟ้าสถิตย์ยังสามารถเพิ่มแรงขับเคลื่อนได้ |
โดยใช้สารตัวนำเจือปนใน Dielectric เพื่อให้มีค่า K สูงที่บริเวณใกล้กับ electrode ทั้งสองและ |
ลดลงเมื่ออยู่กึ่งกลางของ Dielectric รูปที่ 1 แสดงลักษณะของระบบที่ได้กล่าวถึง |
กราฟที่แสดงในรูปแสดงถึง gradient ของสนามไฟฟ้าสถิตย์โดยมีแกน Y เป็นระยะห่างระหว่าง |
electrode ทั้งสองและ flux density ในแกน X ในกรณีที่กราฟเป็นเส้นตรงจะไม่มีแรงกระทำ |
(เส้นประ)เมื่อกราฟไม่เป็นเส้นตรงจะเกิดแรงขึ้นในทิศทางของขั้วบวก |
รูปที่ 2 ข้างล่างนี้เป็นแสดงรูปแบบของ Dielectric และ electrode เพื่อควบคุมทิศทางในการเคลื่อนที่ |
The superconductor weight-reduction experiment
บทสรุป
References
[1] Thomus Townsend Brown and Walkertown, 1965. ELECTROKINETIC APPARATUS, United States Patent No. 3,187,206
[2] TL 565 A9, Gravity Research Group and AF Wright Aeronautical Laboratories. Electrogravitics System: The Declassified Report.
[3] Gaston Burridge, Townsend Brown and his Anti-Gravity Discs.
[4] The Biefield-Brown Anti-Gravity Effect.
[5] Floyd Sweet and T. E. Bearden. Utilizing Scalar Electromagnetics To Tap Vacuum Energy, Association of Distinguished American Scientists.
[6] Charles Berlitz and William Moore. The Philadelphia Experiment.