เดลินิวส์ 28/12/2542
ที่ดินสีกา ไชยบูลย์ โผล่เพิ่ม
ที่ดิน "สีกานัท" คนใกล้ชิด "ไชยบูลย์" โผล่ที่เชียงรายอีก 2 แปลง จากเดิมพบแล้ว 53 แปลง ผบ.ตร.ส่ง หนังสือชี้แจง "พระธรรมปิฎก" ระบุชัดหนังสือที่ "ดร.เบญจ์" เขียนมีเจตนาปกป้องวัดพระธรรมกาย ตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม-เจ้าหน้าที่รัฐ ด้าน "มีชัย ฤชุพันธุ์" ยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร กรมการศาสนาทำเรื่องสอบนิคหกรรมไชยบูลย์ถูกต้องทุกอย่าง พร้อมลงนามรับรอง "วิชัย ตันศิริ"ย้ำใครขวางกฎหมายสร้างความเสียหายให้พุทธศานาควรปลด
แหล่งข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีที่พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน ปราชญ์ทางพุทธศาสนา ได้ถูกผู้ที่ใช้ชื่อว่า "ดร.เบญจ์ บาระกุล" เขียนหนังสือโจมตี หลังจากออกมาชี้ทางสว่างให้แก่ชาวพุทธกรณีวัดพระธรรมกาย และพระธรรมปิฎกได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้สั่งการให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้เพื่อความกระจ่าง และทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปดำเนินการนั้น
ล่าสุด พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผบ.ตร. ได้มีหนังสือถึงพระธรมปิฎกโดยชี้แจงความคืบหน้าในการตรวจสอบว่า ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยมีพล.ต.ท.สมบัติ อมรวิวัฒน์ ผช.ผบ.ตร. เป็นประธาน และพบว่าดร.เบญจ์มีชื่อ-นามสกุลจริงว่านายบัณฑูรย์ บาระกุล อายุ 50 ปี มีที่อยู่ไม่แน่นอน ส่วนหนังสือ ที่เขียนโจมตีจัดทำขึ้นโดยบริษัท สยามบิสซิเนส แอนด์ พรินติ้ง จำกัด หรือโรงพิมพ์ พิมพ์ไทย เลขที่ 25 ซอยอ่อนนุช เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ มีนายสมนึก วิทยารักษ์สรรค์ เป็นเจ้าของ นายทวีป จงกลรอด เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา
สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดทำหนังสือดังกล่าวก็เพื่อเป็นกระบอกเสียงปกป้องวัดพระธรรมกาย โดยการตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม และการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ
ทั้งนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจสันติบาล กองคดี และกองวิชาการ พิจารณาว่าหนังสือดังกล่าวเข้าข่ายผิดพ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ. 2484 หรือไม่ และสรุปได้ว่าหนังสือดังกล่าวซึ่งประกอบด้วย เปิดโปงขบวนการล้มพุทธ, พุทธศาสนาชะตาของชาติ, พุทธศาสนาชะตาของชาติ(ฉบับคัดย่อ) และหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย ฉบับพิเศษประจำวันอาทิตย์ที่ 8 ส.ค. 2542 มีลักษณะอาจจะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.การพิมพ์ จึงมีคำสั่งห้ามขายหรือจำหน่ายจ่ายแจกและให้ยึดสิ่งพิมพ์ทั้ง 4 ฉบับดังกล่าว และต่อมายังได้พบหนังสือพุทธศาสนาชะตาของชาติ(ฉบับคัดย่อ) จำนวน 47,000 เล่ม ที่ที่ทำการไปรษณีย์หลักสี่ จึงได้ทำการยึดไว้
นอกจากนี้ ทางกองปราบปรามได้ประสานกับผู้เสียหายเพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน พิจารณาดำเนินคดีนายบัณฑูรย์ บาระกุล ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทมูลนิธิพุทธธรรม โดยการโฆษณาด้วยเอกสาร และร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายสมเด็จพระสังฆราช โดยมีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทุกพื้นที่สืบสวนหาตัวนายบัณฑูรย์มาดำเนินคดี ซึ่งอยู่ระหว่างติดตามตัว และยังได้ประสานกับสำนักงาน ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองให้ตรวจสอบเพื่อป้องกันนายบัณฑูณย์หลบหนีออกนอกประเทศด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า จากกรณีที่พนักงานสอบสวนคดีวัดพระธรรมกาย กองปราบปราม ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบเกี่ยวกับที่ดินของ น.ส.วิชญา ไตรวิเชียร หรือ "สีกานัท" สีกาใกล้ชิดนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกาย ซึ่งมีข้อสงสัยว่าอาจจะนำเงินจากวัดพระธรรมกายมาจัดซื้อนั้น ล่าสุดทางพนักงานสอบสวนพบว่ามีที่ดินที่เป็นชื่อของน.ส.วิชญาเพิ่มเติมอีก 2 แปลง อยู่ใน จ.เชียงราย จากเดิมที่มีข้อมูลว่ามีอยู่ทั้งหมดทั่วประเทศ จำนวน 53 แปลง ซึ่งทางพนักงานที่ดินจะได้ทำการตรวจสอบในรายละเอียดเพิ่มเติม และรายงานให้พนักงานสอบสวนทราบต่อไป อย่างไรก็ตาม จากการสอบปากคำพนักงานที่ดินมนเบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนพบว่า การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากเจ้าของที่ดินเดิมนั้น น.ส.วิชญา เป็นผู้ไปดำเนินการโอนเองทุกครั้ง
ที่กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. นายวิชัย ตันศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากกรมการศาสนาว่า ขณะนี้นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานวุฒิสภา ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย ได้ทำหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วว่า การดำเนินการทางศาลสงฆ์ตามกฎนิคหกรรมกับนายไชยบูลย์ และพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่กรมการศาสนาทำมาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันนั้น เป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามขั้นตอนแล้ว
"ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้นายไพบูลย์ เสียงก้อง อธิบดีกรมการศาสนา ประมวลข้อมูลทั้งหมด เพื่อเตรียมเสนอต่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง พิจารณาเพื่อสั่งการต่อไป"
ส่วนกรณีที่พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ซึ่งเคยมีข้อสงสัยมติมหาเถรสมาคม (มส.) เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2542 ที่ระบุว่าการดำเนินการของคณะผู้พิจารณาชั้นต้นที่ตัดสินว่าฆาราวาสไม่สามารถฟ้องพระสงฆ์ได้ ไม่สอดคล้อง กับกฎนิคหกรรม อาจมีข้อโต้แย้งอย่างหนึ่งอย่างใดอีกนั้น นายวิชัยกล่าวว่า หากมีข้อโต้แย้งจากเจ้าคณะภาค 1 อีกก็คงต้องมีการเปลี่ยนแปลงคณะผู้พิจารณาชั้นต้น มิฉะนั้นรื่องดังกล่าวจะไม่สิ้นสุด มีปัญหายืดเยื้อต่อไปอีก ทำให้เกิดความเสียหายต่อวงการพระพุทธศาสนา และยังถือเป็นการขัดมติมหาเถรฯด้วย
ด้านนายไพบูลย์ เสียงก้อง กล่าวว่า นายมีชัยได้ให้ผลสรุปมาแล้ว แต่ทางกรมการศาสนาจะต้องนำมาเขียนใหม่ให้สมบูรณ์ แล้วนำกลับไปให้นายมีชัยลงนามรับรองก่อนที่จะเสนอต่อเจ้าคณะใหญ่หนกลางต่อไป