และที่ ห้างอิมพีเรียลลาดพร้าว ชั้น 2 ตู้ 59 ตั้งแต่ 13.00 - 19.00 ทุกวัน |
ประวัติ
หลวงปู่ทิม นามเดิมชื่อทิม
นามสกุลงามศรี
เป็นบุตรของนายแจ้ นางอินทร์
งามศรี
เป็นหลานของหลวงปู่สังข์พระปรมาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคมอย่างยิ่งในสมัยนั้น
หลวงปู่สังข์องค์นี้เป็นผู้ก่อตั้งวัดละหารไร่ขึ้น
เป็นพระที่เรืองวิทยาอาคมมากน้ำลายที่ท่านถมถ้าถูกพื้น
ๆ จะแตก
เมื่อทางจังหวัดทราบถึงความเก่งกล้าในวิทยาอาคมของท่าน
จึงนิมนต์มาอยู่ที่วัดเก๋งจีน
และได้สร้างพระเนื้อตะกั่ววัดเก๋งจีนขึ้น
บรรดาตำราและวิทยาการต่าง ๆ
หลวงปู่สังข์ได้ทิ้งไว้ที่วัดละหารไร่และส่วนใหญ่หลวงปู่ทิมก็ได้ศึกษามาจากตำราของหลวงปู่สังข์นี้
หลวงปู่ทิมเกิดที่บ้านหัวทุ่งตาบุตร
หมู่ที่ 2 ตำบลละหาร
อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง
มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันเป็นชาย
3 หลวงปู่ทิมเป็นคนที่ 2 เกิดเมื่อ
ปีมะแม วันศุกร์ เดือน 7
ตรงกับวันที่ 6 เดือน มิถุนายน 2422
เมื่อท่านพระครูภาวนาภิรัติหรือหลวงพ่อทิม
มีอายุเจริญวัยได้ 17 ปี
นายแจ้ผู้เป็นบิดาได้ส่งเสียและนำตัวของหลวงปู่ทิมไปฝากไว้กับท่านพ่อสิงห์
ที่วัดได้เล่าเรียนหนังสือกับท่านพ่อสิงห์พระอาจารย์เป็นเวลาประมาณ
1 ปี
และมีความสามารถเรียนรู้จนเข้าใจเขียนได้อ่านออกดีแล้วนายแจ้ผู้เป็นบิดาของท่านจึงได้ไปกราบนมัสการท่านพ่อสิงห์ขอลา
หลวงปู่ทิมกลับมาอยู่ที่บ้านเช่นเดิม
และท่านพระครูภาวนาภิรัติ
หลวงปู่ทิม
ก็ได้ช่วยพ่อแม่ทำงานและหาเลี้ยงพ่อแม่ตามวิสัยลูกที่ดีและรู้จักมีความกตัญญูกตเวที
รู้จักปฏิบัติพ่อแม่มาด้วยดีตลอด
แต่โดยในระยะนี้ท่านพระครูภาวนาภิรัติ
มีนิสัยชอบเป็นพรานคะนอง
ออกเที่ยวล่าสัตว์แต่มิได้นำมาเพื่อเป็นการค้า
โดยเลี้ยงชีวิตและครอบครัวเรื่อย
ๆ มา จนถึงอายุได้ 19 ปี
ท่านจึงถูกเลือกเข้าเป็นลูกหมู่หรือทหารประจำการในสมัยนี้
อยู่ที่กรุงเทพ ฯ ถึง 4 ปีเศษ
จึงได้รับการปลดปล่อยกลับมาอยู่ที่บ้านตามเดิมและเมื่อกลับมาอยู่บ้าน
บิดาของท่านจึงได้ขออนุญาติและจัดการอุปสมบทให้เป็นพระภิกษุ
อุปสมบท
หลวงปู่ทิมอุปสมบท เมื่อวันที่ 7
เดือนมิถุนายน 2449 ตรงกับปีมะแม
เดือน 6 วันเสาร์ ขึ้น 7 ค่ำ
โดยมีพระคุณเจ้าท่านพระครูขาว
วัดทับมาเป็นพระอุปัชณายะ
และพระอาจารย์สิงห์
เป็นพระอนุกรรมวาจา
พระอาจารย์เกตุ
เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ณ พัทธสีมา
วัดละหารไร่ ได้ฉายานามสงฆ์ว่า
อิสริโก
เมื่อท่านบวชเป็นพระภิกษุแล้วท่านก็มาอยู่ที่วัดกับพระอาจารย์ได้
1 พรรษา
เมื่ออยู่ครบพรรษาแล้วท่านก็ได้ขออนุญาตและมนัสการกราบลาอาจารย์ออกธุดงด์ไปหลายจังหวัดเป็นเวลา
3 ปี
ครั้นใกล้เทศกาลเข้าพรรษา
ท่านก็กลับมาถึงจังหวัดชลบุรีและท่านก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนามะตูมเป็นเวลาถึง
2 พรรษา
และท่านได้เที่ยวร่ำเรียนวิชากับเกจิอาจารย์หลายอาจารย์ด้วยกันที่เมืองชลเป็นเวลา
2 ปี เศษ
และต่อมาท่านพระครูภาวนารภิรัติ
ท่านจึงกลับมาอยู่ที่วัดละหารไร่หรือ
(วัดไร่วารี)
ตามเดิมและท่านได้เรียนทางวิปัสสนากรรมฐานกับอาจารย์และอื่น
ๆ อีกหลายอาจารย์ด้วยกัน
ต่อมาท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดละหารไร่
และท่านได้ก่อสร้างเสนาสนะบูรณะซ่อมแซมกุฏิ
และอื่น ๆ
อีกหลายอย่างพร้อมด้วยญาติโยมทั้งหลายก็มีความเลื่อมใสต่อท่านมาก
เพราะท่านเป็นพระที่เคร่งในธรรมะและวินัยเป็นที่น่าเคารพมาก
ต่อมาท่านจึงชักชวนบ้านและญาติโยมทั้งหลายได้ก่อสร้างพระอุโบสถขึ้น
1 หลัง ประมาณ 1 ปีเศษ
ก็แล้วเสร็จและผูกพัทธสีมาเรียบร้อยในระยะเวลาเพียง
1 ปีเศษเท่านั้น
และต่อมาท่านจึงได้ก่อสร้างโรงเรียนประชาบาลขึ้นอีก
1 หลัง
โดยมีทางอำเภอและจังหวัดร่วมด้วย
โดยใช้เวลาการก่อสร้างเพียง 8
เดือน
ก็แล้วเสร็จเรียบร้อยเปิดให้นักเรียนเข้าเล่าเรียนได้เรียบร้อย
ต่อมาท่านก็ชักชวนชาวบ้านช่วยกันพัฒนาก่อสร้างสะพานข้ามคลองอีกหลายแห่ง
งานของท่านก็ได้บรรลุถึงความสำเร็จโดยเรียบร้อยทุกประการ
และทางเจ้าคณะจังหวัดได้อาราธนานิมนต์หลวงปู่ทิมท่านมารับเป็น
พระครูภาวนาภิรัติ ในวันที่ 5
ธันวาคม 2507
หลวงปู่เป็นพระที่น่าเคารพและบูชาเป็นอย่างยิ่ง
ท่านเป็นพระที่ยึดมั่นในพระธรรมและวินัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และเป็นพระมักน้อย สันโดษ
ไม่ยินดียินร้ายในรูป เสียง
กลิ่น รส
เท่าที่ผมได้สังเกตดูท่านฉันเช้าประมาณ
1 โมงเช้าและน้ำชาก็เวลา 4 โมงเย็น
ถ้าเลยเวลาหลวงปู่ไม่ยอมฉันแม้แต่น้ำชา
ท่านฉันข้าวมื้อเดียวมาประมาณ 47
ปี และ เนื้อ หมู เป็ด ไก่
หรืออาหารคาวทุกชนิด
ท่านไม่ยอมฉัน มา 47 ปีแล้ว
แม้แต่น้ำปลาก็ไม่ฉัน
อาหารที่ท่านฉันเป็น ผัก ถั่ว
หรือเส้นแกงร้อน
น้ำพริกกับเกลือป่นอย่างนี้อยู่เป็นนิจตลอดมา