BLITZ D-SBC


คนไม่ใช่น้อยที่ขับรถเทอร์โบ แล้วต้องการจะปรับบูตส์เพิ่ม ซึ่งเป็นทางเลือกทางหนึ่งที่สามารถจะเพิ่มความแรงให้กับรถที่รักได้มากในระดับหนึ่งด้วยการลงทุนที่ไม่มากนัก แต่ว่าการปรับนั้นก็ใช่แค่เพียงต้องการแค่ความแรงแค่นั้น ถ้าคุณคิดว่าถ้ามีตัวปรับตัวนี้แล้ว จะสามารถทำให้รถคุณสามารถบูตส์ไปเท่าไหร่ก็ได้ นั่นเป็นความคิดที่ผิด มันอาจจะแรงให้คุณพอใจได้สักพักเดียวเท่านั้น จากนั้นเครื่องยนต์ของคุณก็จะบอกลาคุณไป ถ้าคุณไม่รู้จักวิธีใช้ที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้าคุณปรับให้อยู่ระดับที่ปลอดภัยแน่นอนรถคุณต้องแรงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เกินไปเครื่องก็ไปเหมือนกัน ซึ่งอุปกรณ์สำหรับช่วยเพิ่มความแรงในลักษณะนี้มีมากมายในท้องตลาดให้เลือกซื้อกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นของ GReddy Profec B, Profec , HKS EVC, A'PEX AVC-R, SARD TRIGGER และ BLITZ D-SBC ก็มีให้เห็นกันบ่อย แต่ในคราวนี้จะเป็นการทดสอบวิธีใช้ของ BLITZ D-SBC ซึ่งมีหลายๆ อย่างที่ควรจะจำในการใช้

ในการทดสอบครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจาก riko ซัง ที่ทำงานอยู่ในสำนักงานของ OPTION2 ซึ่งขับรถ TOYOTA STARLET (EP82) และเพิ่งจะซื้อ D-SBC ตัวนี้มา แต่เนื่องจากความไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับรถมากนัก เพียงแค่รู้ว่าถ้ามีตัวนี้ก็สามารถทำให้รถแรงได้ก็เลยซื้อมา จึงได้เข้าไปหา abe จังแห่ง BLITZ เพื่อให้ช่วยสอนวิธีการใช้เจ้าตัวนี้

ก่อนจะทำการปรับบูตส์จำเป็นต้องรู้ อัตราบูตส์สูงสุด (นิ่ง) ของรถตัวเองเสียก่อน
การปรับให้บูตส์สูงเกินไปนั้นยอมทำให้เกิดอันตรายกับเครื่องอย่างแน่นอน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น จำเป็นที่จะต้องรู้ข้อมูลของรถตัวเองเสียก่อน รู้ว่ารถตัวเองนั้นสามารถจะบูตส์ได้สูงสุดเท่าไหร่ และคงที่อยู่ตำแหน่งนั้นหรือไม่
1 point advice from abe จัง
มาตรฐานอัตราบูตส์สูงสุด
อัตราบูตส์สูงสุดนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เมื่อทำการเปลี่ยนแปลงชิ้นส่วน อย่างเช่น การเปลี่ยนกรองอากาศ(กรองเปลือย) กับ ท่อไอเสียให้ดีขึ้น แต่ ECU เดิม อัตราบูตส์สูงสุดนี้ก็จะขึ้นไปอยู่ประมาณ 0.8-0.9 บาร์ และถ้าเปลี่ยน ECU เข้าไปด้วยอัตราบูตส์สูงสุดก็จะขึ้นไปถึง 1.0-1.2 บาร์ นอกจากนั้นรถในญี่ปุ่นทั่วไปจะมีการติดตั้งตัวตัดบูตส์ไว้ ในบางครั้งจำเป็นที่จะต้องยกเลิกคำสั่งตัดบูตส์ตัวนี้ออกด้วย โดยการหาอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคที่มีขายหลายๆ ยี่ห้อ ที่ทำมาสำหรับ ยกเลิกระบบตัดบูตส์นี้ หรือไม่ก็เปลี่ยน ECU ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกโปรแกรมให้ยกเลิกคำสั่งตัดบูตส์นี้ไว้อยู่แล้ว

อีกอย่างหนึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นรถรุ่นเดียวกัน แต่ถ้าปีต่างกันอัตราบูตส์สูงสุดนี้ก็จะแตกต่างกันออกไป อย่างเช่น R33 รุ่นแรกในตอนที่ซื้อมา จะสามารถบูตส์ได้สูงสุดที่ 1.2 บาร์ แต่ R33 ในรุ่นหลังนั้นจะบูตส์ได้สูงสุดแค่เพียง 0.9 บาร์เท่านั้น ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้มีมากกมายกับรถหลายรุ่น

ก่อนทำการปรับบูตส์จำเป็นต้องรู้ อัตราบูตส์ทั่วไปเสียก่อน
เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบว่าเราได้ปรับบูตส์ไปเท่าไหร่ แล้วเพิ่มมาเท่าไหร่ ซึ่งจะได้นำมาตรวจสอบได้ว่าเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงไร ในการรู้อัตราบูตส์ทั่วไปนี้ก็สามารถจะดูได้จาก มาตราวัดอัตราบูตส์ทั่วไปที่เอามาติดกันนั้นเอง ไม่เพียงแค่นั้นยังสามารถจะเช็คอัตราบูตส์สูงสุดได้อีกด้วย สำหรับรถเทอร์โบนั้นส่วนใหญ่จะมีอัตราบูตส์มาตราฐานอยู่แถวๆ 0.1 - 0.2 บาร์ ที่ป็นค่ามาตรฐาน


หลังจากที่นำรถขึ้นเครื่องวัด อัตราบูตส์ทั่วไปของ EP82 คันนี้ได้ผลออกมาที่ 0.6 บาร์

 
SETTING!!
นำอัตตราบูตส์ที่วัดได้มาใช้ในการปรับ
ตอนนี้รู้หรือยังครับว่ารถตัวเองนั้นมีค่าบูตส์สูงสุดเท่าไหร่ ถ้ารู้แล้วก็ใช้ตัวเลขนี้เป็นหลักเพื่อในการปรับบูตส์นะครับ ส่วนคนไม่รู้ มาลองหาตัวเลขนี้กันดู

ก่อนอื่นให้ไปหาที่วิ่งตรงๆ ยาวๆ อย่างเช่นทางด่วน แล้วก็ลองวิ่งดูด้วยการใช้เกียร์ 4 ซึ่งจะดีที่สุดสำหรับการรู้ค่าสูงสุดที่ถูกต้อง แล้วต้องเหยียบให้เทอร์โบทำงานด้วยนะครับ และวิ่งไปได้สักพักก็ดูที่ Peak Hold ในตัวปรับบูตส์ ซึ่งจะมีลูกเล่นอันนี้ติดอยู่ในเครื่องกดดูนะครับ

ถ้าตัวเลขที่ออกมานั้นมากกว่าหรือต่ำกว่าที่คิดไว้ก็ให้หมุนปรับบูตส์เข้าไป (เพิ่มหรือลดก็แล้วแต่กรณี) แล้วก็ทำการยกเลิก Peak Hold ค่าที่ออกมาล่าสุดเพื่อที่จะทำการทดสอบใหม่ และก็วิ่งออกไปอีกครั้ง ทำอย่างนี้เรื่อยๆ จนรู้กระทั่งตัวเลขที่ Peak Hold แสดงออกมานั้นตรงกับที่เราต้องการ
"ดู Peak hold ==> หมุนปุ่มปรับบูตส์ ==> ยกเลิก Peak Hold" ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ สำหรับรถทดสอบคันนี้ได้ตั้งเป้าหมายให้บูตส์ไปจนถึง 1.0 บาร์ ซึ่งทำการหาค่าที่ต้องการ้ไปจนได้ตัวเลขที่ต้องการ 1.0 บาร์ ออกมาก็จริง แต่พอดูที่มาตรวัดแล้วเห็นว่าเข็มจะขึ้นไปจนถึง 1.0 บาร์ แล้วก็ค่อยลดลงมาหยุดอยู่แถวๆ 0.71 บาร์ เนื่องจาก "การรั่วของบูตส์" และผลสุดท้ายอัตราบูตส์สูงสุดของรถคันนี้ก็นิ่งอยู่ที่ 0.71 บาร์

ตรวจดูว่าเกิดการ knocking (อาการเขก) หรือเปล่า?
สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่งสำหรับการปรับบูตส์เพิ่มนี้ก็คืออาการ knocking ซึ่งถ้าปรับบูตส์มากเกินไปก็จะทำให้เกิดอาการนี้จนถึงกับเครื่องพังเลยทีเดียว เนื่องจากการปรับบูตส์เพิ่มนี้การระเบิดในห้องเผาใหม้ทำงานมากกว่าสภาพปกติ ลูกสูบ หรือว่าฝาประเก็นหรืออื่นจะไม่สามารถรับได้จากการทำงานหนักขึ้นของเครื่อง ซึ่งจะเป็นผลให้เครื่องพังได้ หรืออีกอย่างหนึ่ง ข้อมูลใน ECU ก็เหมือนกันถ้าไม่ถูกทำการตั้งให้เหมาะสม ด้านเรื่องน้ำมัน จังหวะการจุดระเบิด ก็จะมีผลทำให้เกิดอาการ knocking นี้ได้เหมือนกัน

ในการทดสอบว่าเกิดอาการ knocking หรือไม่นั้นก็สามารถจะทำได้ไม่ยาก ด้วยการขับรถโดยปิดหน้าต่างให้หมด ปิดวิทยุ ปิดแอร์และสิ่งอื่นที่ทำให้เกิดเสียง (ห้ามคุยกันเวลาไปกับเพื่อน) และคอยฟังว่ามีเสียงเขกหรือไม่ ถ้ามีเสียงนี้เกิดขึ้น ก็ทำการถอนคันเร่งแล้ว ก็ต้องรีบปรับบูตส์ให้ต่ำลงมาในทันที จนไม่เกิดเสียงเขก เครื่องยนต์ก็จะไม่มีอันตราย

เกิดอาการ "HUNTING" หรือ "OVER SHOOT" หรือเปล่านะ??
อาการ HUNTING นั้นก็คือ อัตราบูตส์จะไม่คงที่ในขณะที่บูตส์ในต่ำแหน่งสูงสุด ซึ่งปกติแล้วถ้าดูจากมาตราวัดที่เป็นเข็ม จะเห็นได้ว่าเข็มนั้นจะแทบไม่ขยับ (หรือขยับเพียงช่วงเล็กๆ เท่านั้น) ในขณะที่บูตส์อยู่ตำแหน่งสูงสุด อันนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าแกว่งมากนี่ล่ะอาการ "HUNTING"
 
OVER SHOOT ก็จะมีอาการที่อัตราบูตส์จะถีบตัวขึ้นไปสูงกว่าอัตราบูตส์สูงสุดในช่วงเวลาสั้นๆ แล้วตีกลับลงมาที่อัตราบูตส์สูงสุด อาการนี้จะสามารถดูได้จาก Peak Hold
ในการแก้ไขอาการเหล่านี้สามารถจะทำได้ด้วยการปรับค่า "GAIN" ที่สามารถจะปรับได้จากตัวปรับบูตส์ตัวนี้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษที่สามารถแก้ไขปัญหา HUNTING และ OVER SHOOT ได้ทันที
ค่า GAIN นี้ ถ้าปรับให้มีตัวเลขสูงมากเทอร์โบก็จะทำงานเร็วขึ้น แต่ผลที่ตามมาก็คือ ทั้ง HUNTING และ OVER SHOOT ก็จะแสดงออกมาง่ายขึ้นเช่นกัน ดังนั้นจึงควรปรับ GAIN ให้เกือบเกิดอาการแต่ไม่เกิด ซึ่งจะเป็นตำแหน่งที่สมบูรณ์ที่สุด

เครื่องยนต์แต่ละเครื่อง ค่า GAIN ก็จะต่างกันไป
ซึ่งถ้าต้องการรู้ค่าของรถตัวเองก็สามารถจะดูได้จากคู่มือที่ให้มา แต่ว่าถ้าไม่มีก็ทำการหาค่าเองด้วย การปรับให้เกิดอาการ OVER SHOOT ไปก่อนแล้วก็ค่อยๆ ลดลงมาจนอัตราบูส์นั้นคงที่

 
วิธีการเซ็ต SCRAMBLE
SCRAMBLE ก็คือ การตั้งให้เทอร์โบทำการบูตส์ในอัตราที่สูงกว่าปกติชั่วขณะ (สูงกว่าอัตราบูตส์ที่ตั้งไว้ในเวลาปกติ) และหลังจากที่เวลาที่ตั้ง SCRAMBLE นี้หมดไป (วินาที) อัตราบูตส์ก็จะตีกลับมายังค่าที่เซ็ตเอาไว้ตามปกติ

ตัวอย่างเช่น ในขณะที่ออกจากโค้ง จำเป็นที่จะต้องใช้อัตราเร่งที่มากเพื่อหนีคู่ต่อสู้ หรือว่าจะเป็นการแข่งควอเตอร์ไมค์ ที่ต้องใช้อัตราเร่งตอนต้นที่จัด ความสามารถตัวนี้จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยการปรับให้สูงกว่าอัตราบูตส์ปกติ และก็ตั้งเวลาที่ต้องการให้ทำงาน (ต้องปรับไม่ให้สูงจนเครื่องเขก)

C 2 ที่เห็นในรูปหมายถึง COUNT 2 วินาที ตั้งให้ทำงานต่อเนื่องไป 2 วินาที อย่างรถคันนี้ หลังจากที่ทำการหาค่าบูตส์สูงสุดแล้ว (0.71 บาร์) ก็ตั้ง SCRAMBLE นี้ไว้ที่ประมาณ 1.0 บาร์ และให้ทำงานต่อเนื่องไป 2 วินาที

POWER CHECK

หลังจากที่ทำการปรับบูตส์เรียบร้อย ก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องวัดกำลัง ด้วยการปรับบูตส์ไว้ที่ 1.0 บาร์ ซึ่งได้กำลังเพิ่มขึ้นมา 9 ps. เนื่องจากเกิดอาการรั่วของบูตส์ (เวสเกตตัด) แต่ถ้าดูในช่วงกลางแล้วที่ประมาณ 4000 รอบ ได้กำลังออกมาถึง 20 ps. เลยทีเดียว ซึ่งถือว่าไม่เลวทีเดียวสำหรับการปรับบูตส์เพิ่มด้วย D-SCB จาก BLITZ

แล้วเพื่อนๆ มีไว้ปรับเพิ่มความแรงกันหรือยังครับ แล้วอย่าลืมทำเวสเกตให้ดีขึ้นนะครับ หรือไม่ก็เปลี่ยนเป็นเวสเกตแยกไปเลย เพื่อป้องกันอาการบูตส์รั่วนะครับ


Written : 17/12/1999