เรื่องของ เกส์วัด

แต่ก่อนผมเคยเห็นรถหลายๆ คันที่ติดเกส์อะไรต่ออะไรก็ไม่รู้มากมายเหลือเกิน แล้วก็คิดไปว่าจะเอาไว้ทำอะไรมั่งเนี้ยะ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนดูตอนขับรถก็ไม่รู้ หรือว่าเอาไว้โชว์ ให้รถข้างๆ มอง ก็คงจะแล้วแต่เหตุผลของแต่ละคัน แล้วตังค์ด้วย แต่ว่าขอเลยครับ อย่าทุบ ขโมยกันเลยครับ ผมว่ามันไม่ดีนะ ยิ่งพวก AUTOMETER แล้วละก็สยองเลย จะติดให้มันเท่ห์โชว์คนสักกะหน่อยไม่ทันไร ก็โดนทุบก็มี พอไปเดินหาซื้อของมือสองมาใช้ ดันไปเจอของตัวเองอีก ว้า!! ผมว่าคงจะมีบางคนเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มา แต่ช่างมันครับ ผมขอพูดเกี่ยวกับเรื่องเกส์วัดพวกนี้ดีกว่าว่ามันไว้ทำอะไรได้มั่ง มีประโยชน์อะไรมั่ง แล้วทำงานกันยังไง มีหลายแบบมากมายเหลือเกิน บางคนคงจะงงว่ามันใช้ทำอะไร ลองมาดูกันครับ

ที่นิยมๆ กันเลยและเห็นบ่อยๆ ก็น่าจะมี TACHO METER(วัดรอบ), WATER TEMP METER(วัดอุณหภูมิหม้อน้ำ), OIL PRESS METER(วัดแรงดันน้ำมันเครื่อง), EX. TEMP METER (วัดอุณหภูมิท่อไอสีย) , OIL TEMP METER(วัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง), TURBO METER(วัดบูตส์)
และพวกที่ไม่ค่อยจะได้เห็นกัน ก็อย่างเช่น FUEL PRESS METER(วัดแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง), A/F(Air/Fuel) METER (วัดค่าอัตราส่วนของอากาศกับน้ำมันเชื้อเพลง), VACUUM METER(วัดค่าสูญญากาศ), EX. PRESS METER(วัดความดันของท่อไอเสีย) เป็นต้น

TURBO METER

GReddy Turbo meter
สำหรับรถติดเทอร์โบ เป็นอุปกรณ์ตัวหนึ่งที่สำคํยไม่น้อย
สำหรับรถเทอร์โบนั้น เวลากดคันเร่งแล้วมีเสียงหวีดของเทอร์โบออกมา นั้นก็หมายความว่าเทอร์โบกำลังทำงานอยู่ และตอนนั้นเข็มของวัดบูสต์ก็จะเริ่มกระดิก และแรงดูดอากาศที่เข้ามายังเครื่องนั่นเองที่เรียกว่าแรงดันบูสต์ ก็หมายความว่า เกส์วัดบูสต์ตัวนี้ใช้สำหรับดูการทำงานของแรงดันอากาศที่เข้ามายังเครื่องนั่นเอง
อย่างเช่นเพื่อต้องการรู้ว่าเทอร์โบนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร หลังจากที่ได้เปลี่ยนท่อไอเสียแล้ว จำเป็นที่จะต้องใช้ วัดบูสต์ตัวนี้
ถ้าดูจากเกส์วัดจากด้านล้างขึ้นมาที่ 0 ตรงนั้นจะเป็นค่าของ แวคคัม(แรงดันลบ) และจาก 0 ขึ้นไปนั้นจะเป็นของเทอร์โบ (แรงดันบวก) ตรงนี้จะเป็นส่วนที่ชี้ว่าเทอร์โบกำลังทำงานอยู่ แล้วจริงๆ แล้วควรจะดูเข็มวัดกันอย่างไร?

อย่างเช่น ถ้าบางครั้งที่เข็มเดินช้ามาก ก็อาจจะอ่านผลได้ว่าขนาดของเทอร์โบนั้นใหญ่เกินไปทำให้ ไอเสียที่จะเอาไปปั่นใบเทอร์โบไม่พอ ซึ่งตรงนี้ก็อาจจะแก้ไขด้วยการ เปลี่ยนเป็นแคมองศาสูงมั่ง หรือไม่ก็เปลี่ยนจังหวะของวาล์ว เป็นต้น
หรือว่าบางครั้งใส่อุปกรณ์สำหรับปรับบูตส์เข้าไปควบคุมการทำงานของเทอร์โบ แล้วแรงบูสต์นั้นขึ้นสูงเกินไป ซึ่งตรงนี้ก็อาจจะสรุปได้ว่า เกิดปัญหาขึ้นที่ สวิงวาล์วของเวสเกตที่ติดมากับเทอร์โบ เป็นต้น
อีกอย่างหนึ่งก็คือ ควรจะรู้ว่าความต้องการที่เราจะบูสต์สูงสุดนั้นเป็นเท่าไหร่ เพื่อประกอบกับการตัดสินใจซื้อ อย่างเช่นถ้าต้องการ โหดๆ บูสต์สัก 2.5 บาร์ ก็ควรจะเลือกวัดบูสต์ที่สามารถวัดค่าได้ขนาดนั้น หรืออาจจะไม่ต้องการขนาดนั้น ก็พิจารณากันไป เพื่อที่จะได้ไม่ต้องซื้อซ้ำสอง ซึ่งอันนี้สำคัญเพราะเงินเราเอง :)

จุดสำคัญ ก็คือพยายามไม่บูตส์ให้หนักเกิน สภาพของเทอร์โบ ควรจะเผื่อไว้ไม่ให้เทอร์โบต้องทำงานหนักเกินไปเพื่อเครื่องยนต์ และตัวเทอร์โบเองด้วย

WATER TEMP METER

OMORI water temp
กำลังของรถตกลงแน่ ถ้าความร้อนขึ้น
จริงๆ ถ้าพูดถึงเกส์วัดความร้อนแล้วในรถธรรมดาทั่วไป ส่วนใหญ่จะมีติดอยู่ในรถแล้ว แต่ว่าเคยลองสังเกตุดูหรือเปล่าทำไมมันไม่ค่อยจะกระดิกไปไหนเลย ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วความร้อนของหม้อน้ำนั้น ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ อย่างเช่น ถ้ารถติดแน่นอนไม่มีลมเข้ามาทางหม้อน้ำ ความร้อนก็จะขึ้น อีกด้านหนึ่งถ้าวิ่งอยู่บนทางด่วนที่ความเร็วคงที่ แน่นอนความร้อนก็จะลดลง แต่ว่าที่เข็มความร้อนในรถทั่วไปนั้นไม่ค่อยจะกระดิกไปไหน ก็น่าจะเป็นเพราะ ทางโรงงานตั้งใจทำมาอย่างนั้น เพื่อคนขับจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมาก แต่ว่าเมื่อไหร่ที่ความร้อนนั้นขึ้นแล้วละก็ นั่นก็หมายความว่าความร้อนขึ้นค่อนข้างที่มากเลยทีเดียว ซึ่งถ้าในรถธรรมดานั้นอาจจะยังไม่มีปัญหามาก แต่ว่าสำหรับเครื่องยนต์ที่มีเทอร์โบติดหรือว่า ปรับบูสต์เพิ่มละก็ ถ้าเกิดอะไรขึ้นนั่นก็หมายความว่า "พัง" ซึ่งอันนี้ไม่ใช่แค่รถธรรมดา ในสนามแข่งทั่วไปก็เช่น กัน ส่วนใหญ่แล้วจะให้ความสำคัญกับความร้อนตรงนี้มากทีเดียว เพราะว่าถ้าความร้อนขึ้นแล้วละก็ ความสามารถของเครื่องยนต์ก็จะตกลง หรือถ้าเลวร้ายไปกว่านั้นเครื่องก็พัง

ปกติเราจะติดเซนเซอร์ที่ท่อน้ำที่ออกจากเครื่อง เราสามารถที่จะวัดความร้อนจากตรงนี้ และอุณหภูมิตรงนี้ สำหรับในสนามแข่งแล้วล่ะก็วิ่งกันหนึ่งรอบ น้ำก็จะต้มออกมาได้ประมาณ 110 องศาเซลเซียส
และชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องยนต์ที่เป็นอลูมิเนียมนั้นก็จะถูกความร้อนนี้ทำรายได้ ถ้าเกิดไม่ป้องกันโดยทำให้เครื่องเย็นลง อย่างเช่น เพิ่มขนาดของหม้อน้ำให้ใหญ่ขึ้น เปิดกันชนหน้าให้ลมผ่านเข้าหม้อน้ำได้ง่ายขึ้น หรือไม่ก็เจาะรู้บนฝากระโปรงหน้าซะเลย ก็จะสามารถทำให้เย็นลงได้ ซึ่งถ้าเป็นไปได้ควรที่จะทำให้ความร้อนของหม้อน้ำนั้นรักษาอยู่ที่อุณหาภูมิที่ต่ำกว่า 100 องศาเซสเซียส
จุดสำคัญ ควรที่จะรักษาความร้อนไว้ให้อยู่ในช่วง 90 - 100 องศาเซลเซียส แล้วก็ควบคุมไม่ให้เกิน 120 องศาเซลเซียส ซึ่งถ้าเกินกว่านี้อันตราย

TACHO METER

AUTOMETER TACHO METER
ความสำคัญของวัดรอบนั้นไม่ใช่แค่เพียงความละเอียดของตัวเลข แต่ที่สำคัญอยู่ที่จังหวะการเปลี่ยนเกียร์และฝีมือ
วัดรอบนั้นก็เหมือนกับเกส์วัดความร้อนทั่วไป ที่ส่วนใหญ่ในรถทั่วไปนั้นจะมีอยู่แล้ว แต่ว่าสำหรับบางคนที่อุตส่าห์ไปซื้อวัดรอบตัวใหญ่ ราคาแพงมาตั้งกันนั้นมันก็น่าจะมีอะไรที่แตกต่างไปจากธรรมดา คงจะมีอะไรแปลกให้เล่นซินะ อย่างเช่น อยากเท่ห์มั่ง เห็นเค้าติดกัน ก็เอามั่ง แต่จริงๆ แล้วก็อาจจะจำเป็นจริงๆ อย่างเช่น บางครั้งไปเปลี่ยนแคมองศาสูงมา ทำให้สามารถเร่งรอบได้มากกว่าเดิม และรอบที่มากนั้นไม่สามารถที่จะแสดงบนวัดรอบในอันที่ติดมากับรถ ก็ไปเอามาติดได้ หรือไม่ว่าจะเป็นการแข่งขัน ควอเตอร์ไมค์ ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งสำคัญเลยทีเดียวสำหรับจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่ต้องให้ความสำคัญเป็นเสี้ยววินาทีเลยทีเดียว แต่ถ้าจะให้ดีต้องเลือกแบบที่มีไฟเตือนได้ด้วยนะ อย่างของ AUTOMETER เป็นต้น หรือไม่ก็ใช้ในการแข่งขัน เพื่อคอยเตือนไม่ให้ใช้รอบสูงเกินไปเพื่อป้องกันการเสียหายกับเครื่อง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในการแข่งขันควอเตอร์ไมค์นั้น ไม่ใช่แค่จะพึ่งแค่เพียงอุปกรณ์ตัวนี้เพียงอย่างเดียว จังหวะของตัวเอง กับไฟที่ยิงออกมา และฝีมือ สมาธิ เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า
OIL TEMP METER

OMORI OIL TEMP METER
การเปลี่ยนแปลงของอุณภูมิน้ำมันเครื่องนั้น มีส่วนกับการเลือกน้ำมันเครื่องเป็นอย่างมาก
ความสำคัญของอุณหภูมิน้ำมันเครื่องก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่สำคัญไม่ใช่น้อย เพราะค่อนข้างที่จะมีผลกับเครื่องโดยตรง ถ้าอุณหภูมิสูงมากเกินไป
อุณภูมิของน้ำมันเครื่องนั้น ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่ใช้ ซึ่งมีหลายรูปแบบมาก มีทั้งแบบทนกับความร้อนสูงอย่างเช่นอุณหภูมิขึ้นไปถึง 120 องศาเซลเซียสแล้วยังหนืด อยู่ กับบางอย่างอาจจะอยู่ที่อุณหภูมิแค่ 110 องศาเซลเซียสแล้วเหลวเป็นน้ำเลยก็มี เรื่องตัวเลขของน้ำมันเครื่องนั้นสำคัญ ควรจะถามผู้ขายเกี่ยวกับตัวเลขนี้แล้วเลือกที่เหมาะสมกับเครื่องที่เราใช้
การขึ้นของอุณหภูมิน้ำมันเครื่องนั้น ก็เหมือนกับอุณหภูมิน้ำ ซึ่งจะขึ้นเหมือนกัน ถ้าความร้อนของน้ำขึ้น อุณหภูมิของน้ำมันเครื่องก็จะขึ้นไปตามกัน เพราะฉะนั้นควรที่จะทำความเย็นให้กับหม้อน้ำ หรืออีกอย่างหนึ่งอาจจะทำความเย็นให้ความน้ำมันเครื่องโดยการ ใส่ Oil cooler เข้าไปก็สามารถทำให้อุณหภูมิลดลงได้
จุดสำคัญควรจะรักษาอุณหภฺมิของน้ำมันเครื่องให้อยู่ในช่วง 80 - 110 องศาเซลเซียส และถ้าอุณหภฺมิเกิน 120 องศาเซลเซียส ควรจะลดความเร็วลง หรือทำให้เย็นเสียก่อนแล้วจึงวิ่งต่อไป
OIL PRESSURE METER

GReddy OIL PRESSURE METER
แรงดันน้ำมันเครื่องนั้นเค้าไว้ดูกันตอนรถวิ่ง ไม่ใช่ดูตอนจอดติดเครื่อง
น้ำมันเครื่องที่เพิ่งจะซื้อมาใหม่นั้น ส่วนใหญ่จะเห็นว่ามันหนืดๆ อยู่ แต่ว่าพอเจอกับความร้อนแล้ว ก็จะเหลวลง ซึ่งถ้าน้ำมันเครื่องเหลวเหมือนน้ำนั้น ความหล่อลืนก็จะลดลง การสึกหรอ จนถึงการระบายความร้อนก็จะแย่ลงตามไปด้วย ถึงขึ้นทำให้เครื่องพังได้ในที่สุด เราสามารถที่จะตรวจสอบตรงนี้ได้ด้วยการใช้ เกส์วัดแรงดันน้ำมันตัวนี้ ก็คือ การดูดน้ำมันเครื่องนั้นถ้าสถานภาพของน้ำมันเครื่องในขณะนั้นเหลวเหมือนน้ำ ก็จะทำให้แรงดูดนั้นน้อย ซึ่งถ้าเป็นน้ำไม่ต้องดูดก็ไหลมาเอง ซึ่งตรงนี้เรียกว่า "แรงดันต่ำ" ในทางกลับกัน ถ้าน้ำมันเครื่องมีความหนืดมาก แรงดูดก็ต้องใช้แรงมาก ซึ่งตรงนี้ก็เรียกว่า "แรงดันสูง" นั่นเอง

ในตอนเช้าพอติดเครื่องจะออกรถนั้น น้ำมันเครื่องจะยังคงเย็นอยู่ซึ่งจะยังแข็งตัว ถ้าดูแรงดันจากตรงนี้ ก็จะมีแรงดันสูง แต่หลังจากออกรถไปสักพัก ความร้อนเริ่มเพิ่มขึ้น น้ำมันเครื่องก็จะเริ่มคลายตัวนิ่มลงทำให้ความดันต่ำลงมา และส่วนใหญ่ถ้าดูที่เกส์วัด ก็ควรจะตกลงมาประมาณ 1 kg/cm2 สำหรับรถโดยทั่วไปนั้นในขณะวิ่งอยู่แรงดันน้ำมันเครื่องจะอยู่ที่ประมาณ 3 - 4 kg/cm2 ถึงจะสูงมากก็ไม่ควรจะเกิน 6 kg/cm2 ่ (แต่มีข้อยกเว้นอย่าง SUBARU IMPREZA ในขณะวิ่งจะขึ้นถึง 8 kg/cm2 เลยทีเดียว) ส่วนในน้ำมันเครื่องใหม่ต้องจำไว้อย่างหนึ่งคือ จะต้องมีแรงดันมากกว่า 3 - 4 kg/cm2 หรือมากกว่าปกติ เพราะว่าน้ำมันเครื่องที่ใหม่ย่อมจะหนืดกว่าของเก่า แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นแล้วละก็ อาจจะเกิดจากคุณภาพของน้ำมันเครื่องแย่หรือไม่ก็น้ำมันเครื่องขาด ในทางกลับกัน ถ้าแรงดันน้ำมันต่ำกว่านั้นก็อาจจะเกิดปัญหาที่ปั๊มน้ำมันเครื่องก็เป็นได้
จุดสำคัญ ควรสังเกตุให้แรงดันน้ำมันเครื่องอยู่ไม่เกิน 6 kg/cm2

EX. TEMP METER

GReddy EX. TEMP WARNING METER
อุณหภูมิของท่อไอเสียขึ้นก็น่าจะเกี่ยวกับ แรงดันน้ำมัน หรือไม่ก็ การไหลของอากาศก็เป็นได้
ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องของท่อไปเสียอย่างเดียว แต่ว่าจะไปเกี่ยวกับเรื่องของน้ำมันด้วย รถแต่งเครื่องโดยทั่วไป นอกจากน้ำมันเครื่องและอื่นๆ แล้ว ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญ ก็คือการปรับน้ำมันเบนซิล แล้วการไหลออกมามากน้อยนั้นก็สามารถที่จะวัดได้จากเกส์วัดอุณหภูมิท่อไอเสียนี้
อย่างเช่น ถ้าเราปรับน้ำมันให้อ่อนหน่อย (อาจจะรู้สึกว่าอัตราเร่งดีขึ้นนะ แต่ว่าถ้าอ่อนเกินไปเครื่องพัง) ก็จะทำให้อุณหภูมิของท่อไอเสียเพิ่มขึ้น แต่ถ้าน้ำมันแก่หน่อย ก็จะทำให้อุณหภูมิของท่อไอเสียต่ำลง (อัตราเสี่ยงเครื่องพังจะน้อยกว่าน้ำมันอ่อน) เพราะฉะนั้นเกส์วัดอันนี้ใช้สำหรับวัด สามารถของรถในขณะวิ่งนั่นเอง

แต่ปกติแล้วถ้าเซ็ตรถอย่างปกติ หรือว่าเข้าร้านที่มีคุณภาพแล้วล่ะก็ปัญหาของน้ำมันอ่อนแก่ก็ไม่น่าจะเกิด แต่ทว่าวันไหนโชคดีมีดินมาเกาะอยู่ในรูท่อไอเสียเยอะ หรือไม่ว่าอาจจะมีเศษถุงพลาสติกอะไรลอดเข้าไปปิดที่กรองอากาศละก็ ลองดูตอนนี้ ตัวเลขจะขึ้นกันเห็นๆ เลยทีเดียว สำหรับตอนนี้เกส์ตัวนี้อาจจะสำคัญก็ได้นะ แต่ว่าโดยทั่วไปนั้น ไม่ว่าจะเป็น เกส์วัดอากาศไหลเข้า หรือว่าจะเป็น เกส์วัดแรงดันน้ำมันเบนซิล ก็สามารถที่จะใช้วัดในลักษณะเดียวกันนี้เช่นกัน


ถึงตรงนี้ก็น่าจะรู้แล้วว่าเราควรจะเลือกใช้เกส์วัดแบบไหนที่เหมาะกับรถเรา
ไม่จำเป็นต้องซื้อมันทุกอัน เพราะค่อนข้างที่จะสิ้นเปลืองมากเลยทีเดียว

Written : 26/9/1999