|
InsideBack to previous page
|
องค์ที่ 1 - สายน้ำแห่งชีวิต
ณ บริเวณที่ราบลุ่มปากแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้เป็นดินแดนที่มีความมหัศจรรย์ครั้งแรกของประเทศไทยได้เกิดขึ้นมากมาย และเป็นความทรงจำที่งดงามบนผืนแผ่นดินที่เรียกว่า "ปากน้ำ"
องค์ที่ 2 - วีรกรรมสถิตฟ้า
มหัศจรรย์แรกของเมืองปากน้ำ เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2121 ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ได้เกิดมหาวีรกรรมครั้งแรกของมหาราชผู้กู้แผ่นดิน เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเรือกราบกัญญาขับไล่พระยาจีนจันตุ ซึ่งลงเรือสำเภาหนีมาที่บริเวณปากน้ำ ทรงพระแสงปืนยิงไล่อย่างกล้าหาญ ปลุกขวัญกำลังใจชาวไทย จนทำให้กู้เอกราชและประกาศอิสรภาพได้สำเร็จในเวลาต่อมา
องค์ที่ 3 - สมุทรปราการเมืองแก้ว
หลังจากนั้นในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ทรงเห็นว่าเมืองพระประแดงเก่าตั้งแต่สมัยละโว้เป็นราชธานี ไม่สามารถจะเป็นเมืองหน้าด่านได้ต่อไป จึงมีการตั้งเมืองหน้าด่านขึ้นใหม่ และนับเป็นเมืองป้องกันภัยหน้าด่านแห่งแรกของประเทศไทย เรียกว่า "เมืองสมุทรปราการ"
องค์ที่ 4 - เพริศแพร้วธงชาติไทย
ช่วงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการติดต่อค้าขายกับต่างชาติมากขึ้น และเมื่อเรือสินค้าฝรั่งเศสเข้ามาสู่ปากน้ำ จึงได้เกิดธงชาติครั้งแรกขึ้นมาในประเทศไทย ณ แผ่นดินเมืองปากน้ำแห่งนี้
องค์ที่ 5 - หัวใจอิสรภาพ
ในปลายแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา พระเจ้ากรุงอังวะได้นำทัพใหญ่เข้ามาโจมตีไทยและไทยสิ้นความเป็นไทอีกครั้งหนึ่ง บ้านเมืองถูกเผาทำลาย พุทธศาสนิกชนได้นำพระพุทธรูป 3 องค์ลงแพลอยน้ำ ซึ่งองค์หนึ่งนั้นก็คือ หลวงพ่อโต ชาวบ้านได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ที่วัดบางพลีใหญ่ ชาวสมุทรปราการครานั้นไม่สามารถรอดพ้นจากสงครามได้ ข้าศึกบุกมาทำลายและกวาดต้อนผู้คนจากเมืองสมุทรปราการไป จนกลายเป็นเมืองร้าง และวัดได้กลายเป็นป่าช้า ชาวบ้านสมุทรปราการ จึงได้เข้าไปร่วมกับกองทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
องค์ที่ 6 - ปราบศึกด้วยชีวิต
ล่วงเข้าเดือน 12 ปี 2310 กองทัพเรือของสมเด็จพระเจ้าตากสินก็บุกเข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยา และเข้าโจมตีข้าศึกที่ค่ายโพธิ์สามต้น และประกาศอิสรภาพให้ไทยได้เป็นไทตราบเท่าทุกวันนี้ วีรกรรมอันยิ่งใหญ่ครั้งนั้นจึงนับเป็นวีรกรรมของชาวปากน้ำเมืองสมุทรปราการด้วยเช่นกัน
องค์ที่ 7 - พระเจดีย์สถิตหล้า
นับจากนั้น เมืองสมุทรปราการจึงมีความสุขสงบร่มเย็นจนล่วงเข้าสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงสร้างเมืองใหม่ขึ้นว่า "นครเขื่อนขันธ์" และได้สร้างเมืองหน้าด่านสมุทรปราการขึ้นมาใหม่ที่บางเจ้าพระยา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสร้างพระสมุทรเจดีย์ขึ้น และได้ปฏิสังขรณ์ใหม่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ให้เป็นที่เคารพบูชาพระเจดีย์กลางน้ำอันมหัศจรรย์ จึงได้สำเร็จลงอย่างสมบูรณ์ และเป็นพระเจดีย์ซึ่งอยู่กลางน้ำและอยู่กลางใจของผู้คนตลอดมา
องค์ที่ 8 - ฟ้าผ่าที่ป้อมพระจุล
ในปี พ.ศ. 2418 เมืองสมุทรปราการได้เป็นจุดกำเนิดการสือสาร และการคมนาคมของไทย คือ การสร้างสายโทรเลขสายแรกของไทยระหว่างกรุงเทพฯ ถึงสมุทรปราการ ระยะทาง 45 กิโลเมตร เพื่อใช้สื่อสารทางการเดินเรือ และต่อมาได้พัฒนานำเครื่องโทรศัพท์มาใช้ในปี พ.ศ. 2434 และรถไฟสายแรกถูกกำเนิดขึ้นตั้งแต่สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2436 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ณ สถานีสมุทรปราการ
ในรัชสมัยของพระพุทธเจ้าหลวงนี้ พระองค์ไทรงสร้างป้อมปืนที่ทันสมัยขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศไทย พระราชทานนามว่า "ป้อมพระจุลจอมเกล้า" และ ณ ป้อมแห่งนี้ได้เกิดวีรกรรมอันยิ่งใหญ่และประทับไว้ในใจของชาวปากน้ำทุกคน เมื่อในปี พ.ศ. 2436 ฝรั่งเศสกับไทยเกิดกรณีพิพาทขึ้น ฝรั่งเศสจึงส่งเรือรบเข้ามาปิดปากน้ำเจ้าพระยา และได้เกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือด ปืนจากป้อมพระจุลจอมเกล้าสามารถสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับเรือฝรั่งเศส และสืบเนื่องไปถึงการตกลงกันด้วยดีของไทยกับฝรั่งเศสเกี่ยวกับบูรณภาพและอธิปไตยของชาวไทย
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพํมนาแสนยานุภาพของราชนาวีไทย ก่อเกิดโรงเรียนนายเรือ และพระเจ้าลูกยาเธอในพระองค์ได้ทรงเป็นพระบิดาแห่งราชนาวีไทย ทรงพระนามว่า "พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตต์อุดมศักดิ์"
องค์ที่ 9 - พระมหากรุณาธิคุณล้นฟ้า
นับวาระนั้นเมืองสมุทรปราการกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง และในปี พ.ศ. 2489 พระบามสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงเลื่อนฐานะจากเมืองสมุทรปราการ เป็นจังหวัดสมุทรปราการ ชาวปากน้ำและกองทัพเรือไทยได้มีโอกาสอันสำคัญยิ่ง เมื่อพระบาทสมเด็นพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเด๙ รัชกาลปัจจุบันทรงเสด็จนิวัติประเทศไทยโดยทางเรือพระที่นั่ง พร้อมหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิตต์ กิติยาการ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2493
ณ แผ่นดินปากแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ จึงนับเป็นสถานที่ที่เปรียบเสมือนบันทึกแห่งกาลเวลาของประวัติศาสตร์และความมหัศจรรย์อันน่าประทับใจ ซึ่งนำความภาคภูมิใจมาสู่ประเทศไทยนับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน..........
|