ส่วนนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว แบบได้ยิน ได้เจอ ได้คิดมา ก็เลยเอามาเขียน

 

ศิลปะต้องเป็นสิ่งที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นเท่านั้นนะครับ หมี หมู หมา กา ไก่ สร้างศิลปะไม่ได้เพราะศิลปะ หมายถึงสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ฉะนั้น การที่เอาช้างไปวาดรูปตามข่าวนั้น ไม่ได้ถือว่า ช้างตัวนั้นสร้างงานศิลปะได้นะครับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อะไรก็ตามที่มนุษย์ สร้างจะเป็นศิลปะไปหมดนะ แต่ต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ มาด้วย ก็คือ จิตวิญญาณ (อันนี้ฉันจะกล่าวถึงเฉพาะ fine art ละกัน ไม่รวมพวก สถาปัตย์ และ มัณฑนศิลป์ และอื่นๆ ที่ไม่ใช่ fine art)

 

จิตวิญญาณ ออกจะเข้าใจยากนะ เอางี้ มันก็คือ สิ่งที่ศิลปินรู้สึก หรือคิด เกี่ยวกับมัน ขณะที่เขาสร้างงานอยู่ไงล่ะ เช่น ฉันขึ้นรถเมล์ โห... แม่ง ร้อนชิบหาย คนก็เยอะ เบียดกันอีก ฉันอึดอัด ....พอกลับมาบ้าน ก็กางผ้าใบ เขียนรูปคนเบียดกันมากๆ อยู่ในกรอบเฟรม หน้าตาเหยเก กันหมด ใช้สีและเส้นให้ มีความรู้สึว่า อึดอัด // เห็นไหมนี่แหละ ที่มาและความหมายของคำว่าจิตวิญญาณ ฉันเขียนในสิ่งที่ฉันรู้สึก และคิด เท่านั้น โดยผ่านกระบวนการทางทักษะ เช่นการใช้สี การใช้เส้น บางภาพดูไม่รู้เรื่อง เพราะ มันผ่านกระบวนการเยอะไง ...มีการคลี่คลายฟอร์ม ซะจนแทบไม่เหลือ เค้าโครงเดิม พวกนี้เรียก ว่าพวก abstact แต่กว่าจะเขียนพวกนี้ได้ ต้องผ่าน realism มาก่อนทั้งนั้นแหละ ถามว่าดูยากไหมว่าเขา มั่ว หรือไม่ ... ไม่ยากหรอก ก็ดูจากงานที่ผ่านๆ มาของเขา ไง ดูจากประวัติของเขา ฉะนั้นเป็นศิลปิน ที่มีชื่อเสียงไม่ใช่เรื่องง่ายนะ สังเกตดูดิ ... แก่ๆ ทั้งนั้น ที่ดังๆ น่ะ

 

ฟานก็อก (หรือคนไทยเรียก แวนโก๊ะ) ไปกางขาหยั่งเขียนรูปกลางท้องนา ร้อนตายห่า...แม่งก็ยังเขียน แล้วเห็นไหม ว่ารูปเขาน่ะมีความรู่สึกมีจิตวิญญาณแค่ไหน มันหดหู่ มันสลด มันร้อน ดูดิ มีแต่สีเหลือง ร้อนตาย...นี่แหละ อีกตัวอย่างหนึ่งของจิตวิญญาณ ฟานก็อกไม่ได้นั่งอยู่ในห้องแอร์ เขียนภาพท้องนานี่นา...

 

 

9/06/1998 at home


 

ฉันไปดูงานประมูลภาพเขียนมาครับ หดหู่ครับ ราคาภาพเขียนของศิลปินดังๆ เหลือไม่กีพันบาท อย่างงานของอาจารย์ กัญจนา ดำโสภี เป็นภาพพิมพ์หิน สวยมากครับ (ความคิดเห็นส่วนตัว) ราคาขั้นต้น 2 พันบาท รู้ครับ ว่าเขาตั้งไว้ล่อพวกขาประมูล ให้น้ำลายไหลเล่น แต่ฉันดูแล้วหดหู่จริงๆ ได้ไปอ่านมติชนสุดสัปดาห์ประจำวันอังคารที่ 2 มิุนายน 2541เจอบทกลอนของคนคนหนึ่ง อ่านแล้วน้ำตาซึม ก็เลยคัดมาให้อ่านกัน

"ใครดูถูกดูหมิ่นศิลปะ

อารยะสถุลสกุลสัตว์"

เราสิรักศิลปะ รักชะมัด

แถมอยากจัดอยากได้ไว้เชยชม

แต่ภาพเขียนแต่ละภาพทราบอยู่ใครเป็นผู้เสพสนุกสุขสม

ย่อมเศรษฐีมีเงินอันอุดม

ได้ชื่นชมศิลปะซื้อสบาย

ส่วนตัวเราเฝ้าดูผ่านสูจิบัตร

สี่ร้อยรูปพิมพ์ชัดจัดไว้ขาย

เล่มละแค่สองร้อยกว่าถูกจะตาย

ถ้ากลัวหายซื้อสองเล่มอิ่มเอมใจ

เราไม่เคยดูหมิ่นศิลปะ

อารยะแต่จนคนทันสมัย

อยากครอบครองศิลปะบ้างทำอย่างไร

วานจิตรกรวอนไขให้ฟังที

 

ผู้เขียนท่านนั้นก็คือ : ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์

 

..................

11/06/1998


นึกถึงเพลงๆ หนึ่ง เป็นเพลงสมัยมหาวิทยาลัย ฉันชอบร้องตอนอยู่คนเดียว มันเหงาๆ จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่รู้ว่าจะถูกทั้งหมดหรือเปล่านะ

 

* มะมาเรามารื่นเริง มะมาเรามาบันเทิง

มะมาเรามารื่นเริง

เริงรื่นชื่นสำราญ *

ยามเรียน เราเรียนเพราะรัก

เราฝึกหัดเพื่อชำนาญ

ยามพัก เราแสนสนุก

เราเป็นสุขกับผลของงาน

ศิลปะ...แสนบริสุทธิ์

ผุดผ่อง...ดั่งแสงจันทร์

ปราศไฝ...และไร้ฝ้า

ดั่งจันทรา..คราไร้หมอกควัน

ศิลปินอยู่เพื่ออะไร

ยืนยงเพื่อจรรโลงสิ่งไหน

แต่ศิลปินก็ภาคภูมิในใจ

ที่ได้สร้างเพื่อมนุษย์ธรรม

ดูสิ...สวยแท้ปานใด

ศิลปะ...ภพเลิศไฉไล

กลิ่นสี...และกาวแป้ง

ดุจดังแรง ส่งเสริมใจ

 

มนุษย์เราหากรักศิลป์

สิ่งซึ่ง...งามวิไล

มวลมนุษย์สุดสดชื่น

เริงรื่นศิวิไลซ์

( ซ้ำ *)

 

เพลงนี้ อ.พิษณุ ศุภนิมิตร นำเอาบางส่วนของเพลงนี้ไปตั้งเป็นชื่อหนังสือเรื่องหนึ่ง และก็ถูกนำมาทำเป็นภาพยนต์ในภายหลัง ก็คือเรื่อง กลิ่นสีและกาวแป้ง ไงล่ะครับ

22/06/1998


 

e ort rt inks ip

 

[ home ]