พระเจ้าอโศกมหาราชทรงจับสึก
พวกเดียรถีย์ที่มีวาทะ ว่านิพพานเป็นอัตตาตัวตน
และอัตตาเที่ยง ที่มาปลอมบวชเป็นภิกษุ 60,000 คน
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 80
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ ภาคที่ ๑ ปรมัตถทีปนี อรรถกถาปัญจปกรณ์ หน้า ๑๕-๒0
อรรถกถากถาวัตถุ นิทานกถา
อรรถกถากถาวัตถุ
นิทานกถา
พระราชาผู้ทรงธรรม
ก็พระราชาผู้ทรงตั้งอยู่ในธรรมทรงพระนามว่า
พระเจ้าอโศก ผู้มีศรัทธาอันได้เฉพาะแล้วในพระพุทธศาสนาแห่งนิกาย
อาจริยวาททั้ง ๑๘ นิกายที่มีมาในกาลก่อน จึงทรงสละพระราชทรัพย์วันละห้าแสนทุกๆ
วัน คือเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า ๑ แสน
เพื่อบูชาพระธรรมเจ้า ๑ แสน เพื่อบูชาพระสังฆเจ้า ๑ แสน เพื่ออาจารย์ของพระองค์
ชื่อว่านิโครธเถระ ๑ แสน และเพื่อ
ให้สำเร็จประโยชน์จากยารักษาโรค ที่ประตูทั้ง ๔ อีก ๑ แสน ได้ให้ลาภสักการะอันมากมายในพระพุทธศาสนาแล้ว
เดียรถีย์
ทั้งหลาย คือ นักบวชนอกพระพุทธศาสนาได้เป็นผู้เสื่อมจากลาภสักการะทั้งปวง
ไม่ได้อะไรเลยโดยที่สุดแม้แต่อาหาร
หรือผ้าสำหรับปกปิดร่างกาย เมื่อพวกเขาต้องการลาภสักการะอยู่ จึงพากันไปบวชในสำนักพระภิกษุทั้งหลายและแล้ว
ก็แสดงทิฏฐิคือ ความเห็นของตนๆ ว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย
นี้เป็นคำสอนของพระศาสดา ดังนี้ แม้เมื่อเขาเหล่านั้นไม่ได้การบรรพชาตามประสงค์
เขาก็พากันโกนผม นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์เอาเองนั่นแหละ ได้พากันเที่ยวไปในวิหารทั้งหลาย
และได้เข้าไปสู่ท่ามกลางสงฆ์ในกาลเป็นที่กระทำอุโบสถกรรมเป็นต้น พวกเดียรถีย์เหล่านั้น
แม้ถูกภิกษุสงฆ์ติเตียนอยู่โดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุ
ศาสน์ คือ คำสั่งสอนของพระศาสดาก็ไม่อาจตั้งอยู่ในข้อปฏิบัติอันสมควรแก่
พระธรรมวินัยได้ กลับยังเสนียดมลทินและเสี้ยนหนามมากมายให้เกิดแก่
พระพุทธศาสนา คือ บางพวกก็บำเรอไฟ บางพวกก็ย่างตนในความร้อน ๕
อย่าง บางพวกก็แหงนหน้า
ตามดูพระอาทิตย์ไปเรื่อยไป บางพวกก็คิดมุ่งมาดว่า เราจักทำลายธรรมและวินัยของพวกท่าน
ดังนี้ ต่างก็พากันพยายามแล้ว โดยอาการนั้นๆ ในกาลครั้งนั้น พระภิกษุสงฆ์ไม่ยอมทำอุโบสถกรรมไปถึง
๗ ปี พระราชาแม้ทรง
พยายามด้วยความปรารถนาว่า เราจักให้สงฆ์กระทำอุโบสถกรรมด้วยอาชญา ก็ไม่อาจเพื่อกระทำได้
ครั้นเมื่อพวกภิกษุมิใช่น้อย ถูกอำมาตย์ผู้เป็นพาล ผู้เห็นผิดประหารชีวิตแล้ว
ความเร่าร้อนก็ได้เกิดแก่พระราชาผู้ทรงธรรม พระองค์ผู้เป็นปรารถนาเพื่อจะ
ระงับความเดือดร้อนอันนั้น และเสนียดมลทินที่เกิดขึ้นในพระศาสนานั้น
จึงตรัสถามพระสงฆ์ว่า ใครหนอเป็นผู้สามารถในคดีนี้ ทรงสดับว่า ข้าแต่มหาราชพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระมาจากอโธคงคาบรรพตตามคำของสงฆ์
ได้เป็นผู้หมด
ความสงสัยด้วยอานุภาพของพระเถระที่แสดงปาฏิหารย์ จึงตรัสถามความรำคาญใจของพระองค์
ได้ยังความวิปฏิสารให้สงบ
ระงับลงแล้ว แม้พระเถระก็อยู่กับพระราชาในพระอุทยานนั่นแหละ
ได้ให้พระราชาศึกษาลัทธิสมัย
ตลอด ๗ วัน
กุสโลบายการคัดเลือกลัทธิที่เป็นธรรมวาที
พระราชาผู้มีลัทธิที่ทรงศึกษาเสร็จแล้ว
ก็รับสั่งให้ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายมาประชุมกันในอโศการามในวันที่
๗ แล้วทรงรับ
สั่งให้กั้นม่านเป็นกำแพงรอบด้าน และทรงประทับนั่งภายในกำแพงม่าน ทรงให้รวมภิกษุทั้งหลายผู้มีลัทธิอย่างเดียวกันให้อยู่
เป็นพวกๆ และรับสั่งให้ภิกษุเข้าไปเฝ้าทีละพวกๆ แล้วรับสั่งถามว่า
ภนฺเต กึวาที สมฺมา สมฺพุทฺโธ แปลว่า พระสัมมาสัมพุทธ
เจ้าทรงมีวาทะว่าอย่างไร ?
ลำดับนั้น พวก สัสสตวาที คือ ผู้มีวาทะว่า อัตตาและโลกเที่ยงก็ทูลว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีวาทะว่า อัตตาและโลกเที่ยง
พวก เอกัจจสัสสตทิฏฐิ คือ พวกที่มีความเห็นว่า บางอย่างเที่ยง ก็ทูลว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีวาทะว่า เที่ยงแต่บางอย่าง
พวก อันตานันติกทิฏฐิ คือ พวกที่มีความเห็นว่า
โลกมีที่สุดก็มี ไม่มีที่สุดก็มี ก็ทูลว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีวาทะว่า
โลกมีที่สุด และไม่มีที่สุด
พวก อมราวิกเขปิกาทิฏฐิ คือ พวกที่มีความเห็นว่า
มีวาทะดิ้นได้ไม่ตายตัว ก็ทูลว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีวาทะ
ดิ้นได้ไม่ตายตัว
พวก อธิจจสมุปปันนิกาทิฏฐิ คือ พวกที่มีความเห็นว่า
อัตตาและโลกเกิดขึ้นเอง ก็ทูลว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงมีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นเอง
พวก สัญญีวาทะ คือ พวกที่มีความเห็นว่า อัตตามีสัญญา ก็ทูลว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีวาทะว่า อัตตามีสัญญา
พวก อสัญญีวาทะ คือ พวกที่มีความเห็นว่า
อัตตาไม่มีสัญญา ก็ทูลว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีวาทะว่า
อัตตาไม่มีสัญญา
พวก เนวสัญญีนาสัญญีวาทะ คือ พวกที่มีความเห็นว่า อัตตามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ก็ทูลว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีวาทะว่า อัตตามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
พวก อุจเฉทวาทะ คือ พวกที่มีความเห็นว่า ขาดสูญ ก็ทูลว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีวาทะว่า ขาดสูญ
พวก ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ
คือ พวกที่มีความเห็นว่า นิพพานมีในทิฏฐธรรม ก็ทูลว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีวาทะว่า นิพพานมีในทิฏฐธรรม พวกที่มีวาทะว่า นิพพานมีในทิฏฐธรรม
หรือ นิพพานปัจจุบันนี้ พวกเขาย่อมบัญญัติศัพท์ว่า
นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ ๕ ประการ คือ
:-
๑. สมณะหรือพราหมณ์บางพวกมีทิฏฐิว่า
อัตภาพนี้ต้องบริบูรณ์พรั่งพร้อมด้วยกามคุณทั้ง
๕ จึงบรรลุนิพพาน
ปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่งได้
๒. บางพวกมีทิฏฐิว่า อัตภาพที่บรรลุปฐมฌาน จึงบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่งได้
๓. บางพวกมีทิฏฐิว่า อัตภาพที่บรรลุทุติยฌาน จึงบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่งได้
๔. บางพวกมีทิฏฐิว่า อัตภาพที่บรรลุตติยฌาน จึงบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่งได้
๕. บางพวกมีทิฏฐิว่า อัตภาพที่บรรลุจตุตถฌาน
ไม่มีสุขไม่มีทุกข์มีแต่อุเบกขา อันเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์
จึงบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่งได้
พระราชาทรงทราบว่า
" พวกนี้ เป็นอัญญเดียรถีย์ไม่ใช่พระภิกษุ " เพราะพระองค์ได้ศึกษาลัทธิมาก่อนนั่นแหละจึงทรงพระราชทานผ้าขาวแก่
พวกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้นให้สึกไปเสีย อัญญเดียรถีย์ทั้งหมดสึกออกไป
มีถึง ๖0,000 คน
พระราชารับสั่งให้ภิกษุอื่นเข้าเฝ้า
แล้วรับสั่งถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงมีวาทะว่าอย่างไร ?ขอถวายพระพร พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นวิภัชชวาที
เมื่อภิกษุทั้งหลายทูล
อย่างนี้แล้ว พระราชาจึงทูลถามพระโมคคัลลีติสสบุตรเถระว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นวิภัชชวาทีหรือ
? พระเถระทูลว่า ใช่แล้ว มหาบพิตร
ลำดับนั้น
พระราชารับสั่งว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ บัดนี้ พระศาสนาบริสุทธิ์แล้ว ขอภิกษุสงฆ์จงทำอุโบสถเถิด
ทรงพระราช
ทานอารักขาแล้วเสด็จเข้าสู่พระนคร พระสงฆ์ได้พร้อมเพรียงประชุมกันทำอุโบสถแล้ว
ในสันนิบาตนั้นได้มีภิกษุสงฆ์ ๖,000,000 รูป
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ แสดงกถาวัตถุ
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ
เมื่อจะห้ามวัตถุทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้วในครั้งนั้นและเรื่องที่จะเกิดขึ้นในกาลต่อไป
จึงจำแนก
มาติกาที่พระตถาคตตั้งไว้แล้ว ด้วยสามารถแห่งนัย ที่พระศาสดาทรงประทานไว้
แล้วนำพระสูตร ๑,000 สูตร คือ พระสูตร ๕00
สูตร สำหรับ สกวาทะ คือ วาทะของตน และพระสูตร
๕00 สูตร สำหรับปรวาทะ คือ วาทะของผู้อื่น แล้วได้ภาษิตกถาวัตถุปกรณ์ซึ่งมีลักษณะอันกว้างใหญ่ไพศาล
ย่ำยีปรับวาทะ คือ การโต้แย้ง หรือการขัดแย้งของผู้อื่น นี้ในสมาคมนั้น
ลำดับนั้น ท่านได้คัดเลือกเอาภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย
ผู้ทรงปริยัติ คือ พระไตรปิฎกและผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณ จำนวน
๑,000 รูป ในจำนวนภิกษุ ๖,000,000 รูป กระทำตติยสังคีติ
คือการร้อยกรองพระธรรมวินัย
ครั้งที่ ๓ ชำระมลทินในพระศาสนาเหมือนกับ พระมหากัสสปเถระ และพระยศเถระสังคายนาพระธรรมวินัย
ฉะนั้น
หมายเหตุ :
พจนานุกรมพุทธศาสนํ ฉบับประมวลศัพท์ ของ พระธรรมปิฎก ( ป.อ. ปยุตฺโต ) หน้า
278
วิภัชชวาที : " ผู้กล่าวจำแนก", " ผู้แยกแยะพูด
", เป็นคุณบทคือคำแสดงคุณลักษณะอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้าหมายความว่า
ทรงแสดงธรรมแยกแยะแจกแจงออกไป ให้เห็นว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากส่วนประกอบย่อยๆ
มาประชุมกันเข้าอย่างไร เช่น แยกแยะ
กระจายนามรูปออกเป็นขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ เป็นต้น สิ่งทั้งหลายมีด้านที่เป็นคุณและด้านที่เป็นโทษอย่างไร
เรื่องนั้นๆ มีข้อเท็จจริง
อะไรบ้าง การกระทำอย่างนั้นๆ มีแง่ถูกแง่ผิดแง่ที่ดีและแง่ไม่ดีประการใด เป็นต้น
เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งนั้นเรื่องนั้นอย่างชัดเจน มองเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริง
เช่นมองเห็นความเป็นอนัตตาเป็นต้น ไม่มองอย่างตีคลุมหรือเห็นแต่ด้านเดียวแล้วยึดติดใน
ทิฏฐิต่างๆ อันทำให้ไม่เข้าถึงความจริงแท้ตามสภาวะ
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ ๑๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค หน้า 52-53 ข้อ 50 พรหมชาลสูตร
พรหมชาลสูตร
ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ๕
[ ๕0 ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่านิพพานปัจจุบัน
ย่อมบัญญัติว่านิพพานปัจจุบัน เป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ที่ปรากฏอยู่ ด้วยวัตถุ
๕ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีวาทะว่า
นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ที่มีอยู่
ด้วยวัตถุ ๕
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางพวกในโลกนี้
มีวาทะอย่างนี้ว่า มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เพราะ
อัตตานี้เอิบอิ่ม พรั่งพร้อม เพลิดเพลินอยุ่ด้วยกามคุณ ๕ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง
สมณ
พราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ที่มีอยู่
ด้วยประการฉะนี้
สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่ง กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้นอย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น
มีอยู่จริง ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้มิได้บรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า กามทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะกามเหล่า
นั้นแปรปรวนเป็นอย่างอื่น จึงเกิดความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัส
และความคับใจ ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอัน
บรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง
สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่ง
ของสัตว์ที่มีอยู่ ด้วยประการฉะนี้
หน้า 58-59 ข้อที่ 61
ฐานะของผู้ถือทิฏฐิ
[ ๖๑ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้นสมณพราหมณ์เหล่าใด
มีวาทะว่านิพพานปัจจุบัน ย่อม
บัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่ง
ด้วยวัตถุ ๕ แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญ
เหล่านั้น ผู้ไม่รู้ ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ ๑๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค หน้า 21 ข้อ 30 พรหมชาลสูตร
พรหมชาลสูตร
สัสสตทิฏฐิ ฐานะที่ ๔
[๓0 ] ๔. อนึ่ง ในฐานะที่ ๔ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ
อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตา
และโลก ว่าเที่ยง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางพวกในโลกนี้
เป็น นักตรึก นักตรอง กล่าวแสดง ปฏิภาณ ของตนตามที่ ตรึกได้ตามที่คิดค้นได้อย่างนี้ว่า
อัตตาและโลกเที่ยง ตั้งมั่นดุจยอดเขาภูเขา
ตั้งมั่นดุจ เสาระเนียดที่ตั้งอยู่ ส่วนสัตว์เหล่านั้น ย่อมแล่นไปย่อมท่องเที่ยวไป
ย่อมจุติ ย่อมอุบัติ แต่สิ่งที่เที่ยง เสมอ คงมีอยู่แท้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นฐานะที่ ๔ ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภแล้ว จึงมีวาทะ ว่าเที่ยง
บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีวาทะว่าเที่ยงบัญญัติอัตตา และโลกว่าเที่ยง
ด้วยวัตถุ ๔ นี้แล
หน้า ๕๖ ข้อที่ 51
ฐานะของผู้ถือทิฏฐิ
[ ๕๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้นสมณพราหมณ์เหล่าใด
มีวาทะว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติ
อัตตาและโลก ว่าเที่ยงด้วยวัตถุ
๔ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นผู้ไม่
รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หาเป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น