พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 13
ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้า 306-307 ข้อ 129 มหาปรินิพพานสูตร
๓. มหาปรินิพพานสูตร
ทรงปรารภสักการบูชา
[ ๑๒๙ ] สมัยนั้น ไม้สาละคู่เผล็ดดอกบานสะพรั่งนอกฤดูกาลดอกไม้เหล่านั้น ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังพระสรีระ ของพระตถาคตเพื่อบูชาพระตถาคต แม้ดอกมณฑารพอันเป็นของทิพย์ก็ตกลงมาจากอากาศ ดอกมณฑารพเหล่านั้น ร่วงหล่น โปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคตเพื่อบูชาพระตถาคต แม้จุณแห่งจันทน์อันเป็นทิพย์ ก็ตกลงจากอากาศ จุณแห่งจันทน์ เหล่านั้นร่วงหล่นโปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคต เพื่อบูชาพระตถาคต ดนตรีอันเป็นทิพย์เล่า ก็ประโคมอยู่ในอากาศ เพื่อบูชาพระตถาคต แม้สังคีตอันเป็นทิพย์ ก็เป็นไปในอากาศ เพื่อบูชาพระตถาคต
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า
ดูก่อนอานนท์ ไม้สาละทั้งคู่ เผล็ดดอกบานสะพรั่งนอกฤดูกาล
ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคตเพื่อบูชาพระตถาคต แม้ดอกมณฑารพอันเป็นของทิพย์ก็ตกลงมาจากอากาศ
ดอกมณฑารพเหล่านั้น ร่วงหล่น โปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคตเพื่อบูชาพระตถาคต
แม้จุณแห่งจันทน์อันเป็นทิพย์ ก็ตกลงจากอากาศ จุณแห่งจันทน์ เหล่านั้นร่วงหล่นโปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคต
เพื่อบูชาพระตถาคต ดนตรีอันเป็นทิพย์เล่า ก็ประโคมอยู่ในอากาศ เพื่อบูชาพระตถาคต
แม้สังคีตอันเป็นทิพย์ ก็เป็นไปในอากาศเพื่อบูชาพระตถาคต
ดูก่อนอานนท์ สักการะประมาณเท่านี้หามิได้ ผู้ใดแลจะเป็นภิกษุ
ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกา ก็ตาม เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ
ประพฤติตามธรรมอยู่ ผู้นั้นชื่อว่าสักการะ เคารพ นับถือ
บูชา ด้วยการบูชาอย่างยิ่ง เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ พวกเธอพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า
เราจักเป็นผู้ปฏิบัติธรรม
สมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรมอยู่
หน้า 320 ข้อที่ 141
ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์
[ ๑๔๑ ] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า
ดูก่อนอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิด
อย่างนี้ว่า ปาพจน์ที่พระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราหามีไม่ ข้อนั้นพวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น
ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อันใดอันเราแสดงแล้ว
ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาแห่ง
พวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
หน้า 421
อรรถกถามหาปรินิพพานสูตร
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญวิบาก
ที่แม้พระพุทธญาณก็กำหนดไม่ได้ของการบูชา ที่บุคคลถือเพียงดอกฝ้ายดอกเดียว
ระลึกถึงพระพุทธคุณบูชาแล้วไว้ในที่อื่น ในที่นี้กลับทรงคัดค้านการบูชาใหญ่อย่างนี้
ตอบว่า เพราะเพื่อจะทรงอนุเคราะห์บริษัทอย่างหนึ่ง
เพื่อประสงค์จะให้พระศาสดาดำรงยั่งยืนอย่างหนึ่ง
จริงอยู่
พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่พึงคัดค้านอย่างนั้นไซร้ ต่อไปในอนาคต พุทธบริษัทก็ไม่ต้องบำเพ็ญศีลในฐานะที่ศีล
มาถึง จักไม่ให้สมาธิบริบูรณ์ในฐานะที่สมาธิมาถึง ไม่ให้ถือห้องคือวิปัสสนาในฐานะที่วิปัสสนามาถึง
ชักชวนแล้วชักชวนอีก
ซึ่งอุปัฏฐากกระทำการบูชาอย่างเดียวอยู่ จริงอยู่ ชื่อว่าอามิสบูชานั้นไม่สามารถจะดำรงพระศาสนาแม้ในวันหนึ่งบ้าง
แม้ชั่วดื่มข้าวยาคูครั้งหนึ่งบ้าง จริงอยู่ วิหารพันแห่งเช่นมหาวิหาร
เจดีย์พันเจดีย์ เช่นมหาเจดีย์ ก็ดำรงพระศาสนาไว้ไม่ได้ บุญผู้ใด
ทำไว้ก็เป็นของผู้นั้นผู้เดียว ส่วนสัมมาปฏิบัติ
ชื่อว่าเป็นบูชาที่สมควร
แก่พระตถาคต เป็นความจริงปฏิบัติบูชานั้น ชื่อว่าดำรงอยู่แล้ว สามารถดำรงพระศาสนาไว้ได้ด้วย
เพราะฉะนั้น ภิกษุตั้งอยู่ในอคารวะ ๖ ละเมิดพระบัญญัติ เลี้ยงชีวิตด้วยอเนสนา ภิกษุนี้ชื่อว่า ไม่ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม ส่วนภิกษุใดไม่ละเมิดสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้วแก่ตนทั้งหมดที่ขีดขั่น เขตแดนและเส้นบรรทัดของพระชินเจ้าแม้มีประมาณน้อย ภิกษุนี้ ชื่อว่าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
หมายเหตุ : พจนานุกรมพุทธศาสนํ ฉบับประมวลศัพท์
ของท่านพระธรรมปิฎก ( ป.อ. ปยุตฺโต ) หน้า 377
อเนสนา : การหาเลี้ยงชีพในทางที่ไม่สมควรแก่ภิกษุ
, เลี้ยงชีวิตผิดสมณะ เช่น หลอกลวงเขาด้วยการ
อวดอุตริมนุสสธรรม , ทำวิญญัติคือ ออกปากขอต่อคนที่ไม่ควรขอ
, ใช้เงินลงทุนหาผลประโยชน์ ,
ต่อลาภด้วยลาภคือให้แต่น้อยเพื่อหวังผลตอบแทนมาก , เป็นหมอเวทมนต์เสกเป่า
เป็นต้น
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 35
อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต หน้า 85-87 ข้อ 28 อริยวังสสูตร
๘. อริยวังสสูตร
ว่าด้วยอริยวงส์ ๔ ประการ
[ ๒๘ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยวงศ์ ๔
ประการนี้ ปรากฏว่าเป็นธรรมอันเลิศ ยั่งยืนเป็นแบบแผนมาแต่เก่าก่อน
ไม่ถูกทอดทิ้งแล้ว ไม่เคยถูกทอดทิ้งเลย ( ในอดีตกาล ) ไม่ถูกทอดทิ้งอยู่ (
ในปัจจุบันกาล ) จักไม่ถูกทอดทิ้ง ( ในอนาคตกาล ) สมณพราหมณ์ทั้งหลายที่เป็นผู้รู้ไม่คัดค้านแล้ว
อริยวงศ์ ๔ ประการ คืออะไรบ้าง คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้
และเป็นผู้สรรเสริญความสันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้ ไม่ทำ อเนสนาการแสวงหาไม่สมควร
เพราะจีวรเป็นเหตุ ไม่ได้จีวรก็ไม่ทุรนทุราย ได้จีวรแล้วก็ไม่ติดใจสยบพัวพัน
เห็นส่วน
ที่เป็นโทษ ฉลาดในอุบายที่จะถอนตัวออก บริโภค ( จีวรนั้น ) อนึ่ง
ไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะความสันโดษด้วยจีวรตามมีตาม
ได้นั้น ก็ภิกษุใด เป็นผู้ฉลาดไม่เกียจคร้าน
มีสัมปชัญญะ มีสติมั่นในความสันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้นั้น ภิกษุนี้เราเรียกว่า
ผู้สถิตอยู่ในอริยวงศ์ อันปรากฏว่าเป็นธรรมเลิศมาเก่าก่อน
อีกข้อหนึ่ง
ภิกษุเป็นผู้สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้ และเป็นผู้สรรเสริญความสันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้
ไม่ทำอเนสนาการแสวงหาไม่สมควรเพราะบิณฑบาตเป็นเหตุ ไม่ได้บิณฑบาตก็ไม่ทุรนทุราย
ได้บิณฑบาตแล้วก็ไม่ติด
ใจสยบพัวพัน เห็นส่วนที่เป็นโทษ ฉลาดในอุบายที่จะถอนตัวออกบริโภค
( บิณฑบาตนั้น ) อนึ่ง ไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะความ
สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้นั้น ก็ภิกษุใดเป็นผู้ฉลาดไม่เกียจคร้าน
มีสัมปชัญญะ มีสติมั่นในความสันโดษด้วยบิณฑบาต
ตามมีตามได้นั้น ภิกษุนี้เราเรียกว่า ผู้สถิตอยู่ในอริยวงศ์ อันปรากฏว่าเป็นธรรมเลิศมาเก่าก่อน
อีกข้อหนึ่ง
ภิกษุเป็นผู้สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้ และเป็นผู้สรรเสริญความสันโดษด้วยเสนาสนะ
ตามมีตามได้ ไม่ทำอเนสนาการแสวงหาไม่สมควรเพราะเสนาสนะเป็นเหตุ
ไม่ได้เสนาสนะก็ไม่ทุรน
ทุราย ได้เสนาสนะแล้วก็ไม่ติดใจสยบพัวพัน
เห็นส่วนที่เป็นโทษ ฉลาดในอุบายที่จะถอนตัวออกบริโภค ( เสนาสนะ
นั้น ) อนึ่ง ไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะความสันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้นั้น
ก็ภิกษุใดเป็นผู้ฉลาดไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติมั่นในความสันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้นั้น
ภิกษุนี้เราเรียกว่า ผู้สถิตอยู่ในอริยวงศ์ อันปรากฏว่าเป็นธรรมเลิศมาเก่าก่อน
อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีภาวนา ( การบำเพ็ญกุศล
) เป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในภาวนา เป็นผู้มีปหานะ ( การละอกุศล )
เป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในปหานะ อนึ่ง ไม่ยกตนข่มผู้อื่นเพราะความเป็นผู้มีภาวนาเป็นที่ยินดี
เพราะความยินดีในภาวนา เพราะ ความเป็นผู้มีปหานะเป็นที่ยินดี เพราะความยินดีในปหานะนั้น
ก็ภิกษุใดเป็นผู้ฉลาดไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติมั่น ในความยินดีในภาวนาและปหานะนั้น
ภิกษุนี้เราเรียกว่าผู้สถิตอยู่ในอริยวงศ์อันปรากฏว่าเป็นธรรมเลิศมาเก่าก่อน
ภิกษุทั้งหลาย นี้แลอริยวงศ์ ๔ ประการ
ที่ปรากฏว่าเป็นธรรมเลิศยั่งยืน เป็นแบบแผนมาแต่เก่าก่อน ไม่ถูกทอดทิ้งแล้ว
ไม่เคยถูกทอดทิ้งเลย ( ในอดีตกาล ) ไม่ถูกทอดทิ้งอยู่ ( ในปัจจุบันกาล ) จักไม่ถูกทอดทิ้ง
( ในอนาคตกาล ) สมณพราหมณ์
ทั้งหลายที่เป็นผู้รู้ไม่คัดค้านแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุผู้ประกอบพร้อมด้วยอริยวงศ์
๔ ประการนี้ แม้หากอยู่ในทิศตะวันออก...ทิศตะวันตก...ทิศเหนือ...
ทิศใต้ เธอย่อมย่ำยีความไม่ยินดีเสียได้ ความไม่ยินดีหาย่ำยีเธอได้ไม่
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่าภิกษุผู้มีปัญญา
ย่อมเป็นผู้ข่มได้ทั้งความไม่ยินดีทั้งความยินดี
ความไม่ยินดีหาย่ำยีภิกษุผู้มีปัญญาได้ไม่
ความไม่ยินดีหาครอบงำภิกษุผู้มีปัญญาได้ไม่ แต่ภิกษุผู้มี
ปัญญาย่ำยีความไม่ยินดีได้ เพราะภิกษุผู้มีปัญญาเป็นผู้ข่มความไม่ยินดีได้
ใครจะมาขัดขวางภิกษุผู้ละกรรมทั้งปวง
ผู้ถ่ายถอน ( กิเลสที่มิให้บรรลุวิมุตติ ) แล้วไว้ได้ ใครจะควร
ติภิกษุ ( ผู้บริสุทธิ์ ) ดุจแท่งทองชมพูนุทนั้นเล่า แม้เทวดาก็ย่อมชมถึงพรหมก็สรรเสริญ
หน้า 101
อรรถกถาอริยวังสสูตร
ข้อว่า เสนาสนะ
ได้แก่ เสนาสนะ ๑๕ เหล่านี้คือ
๑. เตียง ๒. ตั่ง ๓. ฟูก ๔. หมอน ๕.
วิหาร ๖. เรือนมุงด้านเดียว ๗. ปราสาท
๘. ปราสาทโล้น ๙. ถ้ำ ๑0. ที่เร้น ๑๑. ป้อม
๑๒. เรือนโถง ๑๓. พุ่มไผ่ ๑๔. โคนต้นไม้ ๑๕. หรือที่ๆ ภิกษุหลีกออกไป
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 26
สังยุตตนิกาย นิทานวรรค หน้า 721-722 ข้อ 656 ภิกขุสูตร
๗. ภิกขุสูตร
ว่าด้วยภิกษุไฟติดทั่วตัวลอยในอากาศ
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ : -
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน
กรุงราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ท่านพระ
ลักขณะกับท่านพระมหาโมคคัลลานะอยู่บนภูเขาคิชฌกูฏ
ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า ท่านพระมหาโมคคัลลานะนุ่งแล้วถือบาตรและจีวรเข้าไปหาท่านลักขณะจนถึงที่อยู่
ครั้นเข้าไป หาแล้วได้กล่าวชวนท่านพระลักขณะว่า มาไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ด้วยกันเถิดท่านลักขณะ
ท่านพระลักขณะรับคำท่าน พระมหาโมคคัลลานะว่า อย่างนั้น ลำดับนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะกำลังลงจากภูเขาคิชฌกูฏ
ได้แย้มขึ้นในที่แห่งหนึ่ง
ทีนั้น ท่านพระลักขณะได้ถามท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ท่านโมคคัลลานะ อะไรเล่าเป็นเหตุ
เป็นปัจจัยทำให้แย้ม ท่านมหาโมคคัลลานะตอบว่า ท่านลักขณะ มิใช่เวลาที่จะเฉลยปัญหาข้อนี้
ท่านจงถามผมในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด
ครั้งนั้นแล ท่านพระลักขณะกับท่านพระมหาโมคคัลลานะเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
กลับจากบิณฑบาต ภายหลัง ภัตตาหารแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นท่านพระลักขณะนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ถามท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ท่านมหาโมคคัลลานะ
เมื่อลงจากภูเขาคิชฌกูฏท่านได้ แย้มขึ้นแล้วในที่แห่งหนึ่ง ดูก่อนท่านพระมหาโมคคัลลานะ
อะไรเล่าเป็นเหตุ เป็นปัจจัยทำให้แย้มขึ้น
[ ๖๕๖ ] ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า
เมื่อผมลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นภิกษุลอยอยู่ในเวหาส
ผ้าสังฆาฏิก็ดี
บาตรก็ดี ประคดเอวก็ดี ร่างกายก็ดี ของภิกษุนั้น อันไฟติดทั่วลุกโชติช่วงแล้ว
ได้ยินว่า ภิกษุนั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ผมคิดว่า
อัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยมีมาหนอ สัตว์เห็นปานนี้ก็จักมี ยักษ์แม้เห็นปานนี้ก็จักมี
การได้อัตตภาพแม้เห็นปานนี้ก็จักมี
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาวกทั้งหลายเป็นผู้มีจักษุหนอ เป็นผู้มี
ญาณหนอ เพราะว่า แม้สาวกก็จักรู้ จักเห็นสัตว์เช่นนี้ หรือจักเป็นพยาน เมื่อก่อนเราได้เห็นสัตว์ตนนั้นเหมือนกัน
แต่ว่าไม่ได้ พยากรณ์ไว้ หากเราพึงพยากรณ์สัตว์นั้นไซร้ คนอื่นๆ ก็จะไม่พึงเชื่อถือเรา
ข้อนั้นพึงเป็นไป เพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนาน แก่ผู้ไม่เชื่อถือเรา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้ได้เป็นภิกษุผู้ชั่วช้าในศาสนาของพระกัสสป
สัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วย ผลของกรรมนั้น เขาจึงหมกไหม้อยู่ในนรกหลายปี
หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี ด้วยผลของกรรมนั่นแหละที่ยังเหลืออยู่ เขาจึงต้องเสวยการได้อัตภาพเห็นปานนี้