คัดมาบางส่วนจาก พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 15 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค หน้า 150 เรื่อง อัคคัญญสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
ว่าด้วยบุตรเกิดแต่พระอุระ พระโอษฐ์พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เธอทั้งหลายแล มีชาติเกิดต่างกัน
มีชื่อต่างกัน มีโคตรต่างกัน
ออกจาก เรือนมาบวชเป็นบรรชิต ถูกเขาถามว่า ท่านเป็นพวกไหนดังนี้ พึงตอบ เขาว่า
พวกเราเป็นพวกพระสมณะศากยะบุตร
ดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารท- วาชะ ก็ผู้ใดแลมีศรัทธาในพระตถาคตตั้งมั่น เกิดแต่มูลราก
ตั้งมั่นอย่าง มั่นคง อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกให้เคลื่อน
ย้ายไม่ได้ ควรจะเรียกผู้นั้นว่าเราเป็นบุตรเกิดแต่พระอุระเกิดจากพระโอษฐ์
ของพระผู้มีพระภาค เกิดจาก พระธรรม พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็น ทายาทของพระธรรมดังนี้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคำว่า "ธรรมกาย"
ก็ดี "พรหมกาย" ก็ดี "ธรรมภูต" ก็ดี "พรหมภูต"
ก็ดีเป็นชื่อของพระตถาคต
........มาดูในอรรถกถาหน้า ที่ 175 ในเล่มเดียวกันนี้...................
ความจริง พระอริยสาวกนั้นอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเกิดขึ้นในภูมิของ
พระอริยะ ฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นบุตรของ
พระผู้มีพระภาค และชื่อว่าเป็น โอรสเกิดแต่พระโอษฐ์ เพราะอยู่ในอกแล้วดำรงอยู่ในมรรคในผลด้วย
อำนาจแก่การกล่าวธรรมอันออกมาจากพระโอษฐ์ ชื่อว่าเกิดแต่ธรรม เพราะ เกิดจากอริยธรรม
และชื่อว่าธรรม
อันเนรมิตขึ้น เพราะถูกอริยเนรมิตขึ้น ชื่อว่าธรรมทายาท เพราะควรได้รับมรดกคือ
นวโลกุตตรธรรม (โลกุตตรธรรม 9)
คำว่า ธมฺมกาโย อิติปิ
ความว่า เพราะเหตุไร พระ ตถาคตจึงได้รับขนานนามว่า ธรรมกาย
เพราะพระตถาคตทรงคิดพระ พุทธพจน์คือพระไตรปิฎกด้วยพระหทัยแล้ว ทรงนำออกแสดง
ด้วยพระวาจา ด้วยเหตุนั้น พระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงจัดเป็นธรรมโดยแท้เพราะ
สำเร็จด้วยธรรม พระธรรมเป็นกายของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นดังพรรณนา มานี้ ฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงชื่อว่าธรรมกาย ชื่อว่าพรหมกายเพราะ
มีธรรมเป็นกายนั่นเอง แท้จริง พระธรรมท่านเรียกว่าพรหมเพราะเป็น ของประเสริฐ
บทว่า ธมฺมภูโต ได้แก่สภาวธรรม ชื่อว่า พรหมภูต เพราะเป็นผู้ที่เกิดจากพระธรรมนั่นเอง
------------------------------------------------------------------------------------
พจนานุกรมพุทธศานํ ฉบับ ประมวลศัพท์ ของท่าน พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) หน้า 106
ธรรมกาย : "ผู้มีธรรมเป็นกาย"
เป็นพระนามอย่างหนึ่ง ของพระพุทธเจ้า (ตามความใน
อัคคัญญสูตร แห่ง ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค) หมายความว่าพระองค์ทรงคิดคำสอนด้วยพระหทัย
แล้ว ทรงนำออกเผยแพร่ด้วยพระวาจา เป็นเหตุให้พระองค์ก็คือพระธรรม เพราะทรงเป็นแหล่งที่ประมวลหรือประชุมอยู่แห่งพระธรรมอันปรากฎ
เปิดเผยออกมาแก่ชาวโลก; อนึ่งธรรมกายคือกองธรรมหรือชุมนุม
แห่งธรรมนั้น ย่อมเจริญงอกงามเติบขยายได้โดยลำดับจนไพบูลย์ ในบุคคลผู้เมื่อได้สดับคำสอนของพระองค์
แล้วอบรมตนด้วย ไตรสิกขาเจริญมรรคาให้บรรลุภูมิแห่งอริยชน ดังตัวอย่าง
ดำรัสของ พระมหาปชาบดีโคตมี เมื่อครั้งกราบทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อ ปรินิพพานตามความในคัมภีร์
อปทาน ตอนหนึ่งว่า "ข้าแต่พระสุคตเจ้า หม่อมฉันเป็นมารดาของพระองค์,
ข้าแต่พระธีรเจ้า.....รูปกาย
ของพระองค์นี้ หม่อมฉันได้ทำให้
เจริญเติบโต ส่วนธรรมกายอันเอิบสุข ของหม่อมฉัน
ก็เป็นสิ่งอันพระองค์ได้ทำให้เจริญเติบโต"; สรุปตามนัย
อรรถกถา ธรรมกาย คือ โลกุตตรธรรม 9 หรือ อริยสัจ
--------------------------------------------------------------------
หน้า 261
โลกุตตรธรรม : ธรรมอันมิใช่วิสัยของโลก,สภาวะพ้นโลก มี 9 ได้แก่ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน1
---------------------------------------------------------------
หน้า 387
อริยสัจ : ความจริงอย่างประเสริฐ, ความจริงของพระอริยะ, ความจริงที่ทำให้คนเป็นพระอริยะ มี 4 อย่าง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค (เรียกเต็มว่า ทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ และ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา)
------------------------ ว่าด้วยวิชาในพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎก---------------------------------------
พระอรหันต์ทั่วๆ ไปนี้ยังจำแนกได้เป็น
๒ ประเภท คือ ปัญญาวิมุตติ และ
เจโตวิมุตติ
ปัญญาวิมุตติ
หมายถึงพระอรหันต์ผู้ไม่ได้ฌานเลย กล่าวคือไม่ได้เจริญสมถภาวนาไม่ได้ทำฌาน
เป็นแต่เจริญ
วิปัสสนาภาวนาแต่อย่างเดียวจนบรรลุอรหัตตมัคคอรหัตตผล พระอรหันต์ผู้ที่ไม่ได้ฌานนี้เรียกว่า
สุกขวิปัสสก พระอรหันต์
ส่วน เจโตวิมุตติ
หมายถึงพระอรหันต์ผู้ที่ได้ฌานด้วย ( ผู้ที่ได้ฌานเรียกว่า
ฌานลาภีบุคคล ) การได้ฌานก็สามารถ
ได้มาด้วย ๒ ประการ คือ
ก. เป็นผู้เจริญสมถภาวนาจนได้ฌาน เช่นนี้เรียกว่า ปฏิปทาสิทธิฌาน
ได้ฌานด้วยการปฏิบัติ แล้วก็มาเจริญ
วิปัสสนา ภาวนาตามลำดับ จนบรรลุพระอรหันต์
ข. เป็นผู้ที่แม้จะไม่ได้เจริญสมถภาวนามาก่อนก็ตาม แต่ว่าเมื่อได้เจริญวิปัสสนาภาวนามาตามลำดับจนบรรลุ
อรหัตตมัคค อรหัตตผล ด้วยผลแห่งบุญญาธิการแต่ปางก่อน เมื่อบรรลุอรหัตตผล ก็ถึงพร้อมซึ่งฌานด้วยเช่นนี้เรียกว่า
มัคคสิทธิฌาน ได้ฌานด้วยอำนาจแห่งมัคค
จนถึงได้อภิญญาด้วยก็มี เช่น พระจุฬปัณถก เมือสำเร็จเป็น
พระอรหันต์ก็มีอภิญญา ด้วยคือมีอิทธิฤทธิถึงสำแดงปาฏิหารย์ เป็นพระภิกษุหลายรูปจนเต็มพระเชตวัน
รวมความว่า พระอรหันต์ประเภทปัญญาวิมุตติ ไมได้ฌานด้วยเรียกว่า สุกขวิปัสสกพระอรหันต์
พระอรหันต์ประเภท เจโตวิมุตตินั้นเป็นผู้ได้ฌานด้วย เรียกว่าพระอรหันตฌานลาภีบุคคล
พระอรหันต์ผู้เป็นฌานลาภีบุคคลนั้น ได้ฌานจนถึงได้อภิญญาด้วยก็มี ได้ฌานก็จริงแต่ไม่ถึงได้อภิญญาด้วยก็มี ฌานลาภีอรหัตตบุคคลนั้นที่ได้ถึงอภิญญาด้วยนั้น บางองค์ก็ได้เพียง อภิญญา ๓ บางองค์ก็ได้ถึง อภิญญา ๖ อภิญญา ๓ หรือบางทีก็เรียกว่า วิชา ๓ นั้นได้แก่
( ๑ ) ปุพเพนิวาสนุสติญาณ ระลึกชาติได้
( ๒ ) ทิพพจักขุญาณ หรือ จุตูปปาตญาณ ตาทิพย์ รู้จุติและปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย
( ๓ ) อาสวักขยญาณ รู้วิชาที่ทำให้สิ้นกิเลสและอาสวะ เฉพาะอภิญญาข้อ ๓ นี้ จะเป็นสุกขวิปัสสกพระอรหันต์ก็ตาม หรือฌานลาภีอรหัตตบุคคลได้ถึงอภิญญาด้วยหรือ ไม่ก็ตาม ต้องมีอภิญญาข้อ ๓ นี้ด้วยทุกๆ องค์
อภิญญา ๖ หรือบางทีก็เรียกว่า วิชา ๖ นั้น คือวิชา ๓ นั่นเอง และเพิ่มขึ้นอีก ๓ คือ
( ๔ ) ปรจิตตวิชานน หรือ เจโตปริยญาณ รู้จิตใจผู้อื่น
( ๕ ) ทิพพโสตญาณ หูทิพย์
( ๖ ) อิทธิวิธี สำแดงฤทธิ์ได้
อีกนัยหนึ่งนั้น จำแนกพระอรหันต์เป็น ๒ ประเภท โดยจำแนกเป็นพระอรหันต์ผู้มี ปฏิสัมภิทาญาณ และพระอรหันต์ ผู้ไม่มี ปฏิสัมภิทาญาณ
ปฏิสัมภิทาญาณ คือ ถึงพร้อมด้วยความรู้อันแตกฉาน แปลสั้นๆ ว่า ปัญญาแตกฉาน ปฏิสัมภิทาญาณ มี ๔ ประการคือ
๑. อตฺถปฏิสมฺภิทาญาณ ปัญญาแตกฉานในผลทั้งปวง อันบังเกิดจากเหตุ
ชื่อว่า อัตถะปฏิสัมภิทาญาณ อัตถะ หรือ ผล
นั้นได้แก่ธรรม ๕ ประการ คือ
ก. ยํ กิญฺจิ ปจฺจยสมฺภูตํ คือรูปธรรมทั้งปวงที่เกิดขึ้นโดยมีปัจจัยประชุมปรุงแต่ง
ข. นิพฺพานํ คือพระนิพพาน
ค. ภาสิตตฺโถ คืออรรถที่กล่าวแก้ให้รู้วิบากขันธ์ ๓๒ ดวง
ง. กิริยาจิตฺตํ คือกิริยาจิต ๒0 ดวง
จ. ผลจิตฺตํ คือผลจิต ๔ ดวง
๒. ธมฺมปฏิสมฺภิทาญาณ ปัญญาแตกฉานในเหตุที่ทำให้บังเกิดผลชื่อว่า
ธัมมาปฏิสัมภิทาญาณ ธรรม หรือ เหตุ
นั้นได้แก่ธรรม ๕ ประการ คือ
ก. โย โกจิ ผลนิพฺพตฺตโก เหตุ คือเหตุทั้งปวงบรรดาที่ยังผลให้เกิดขึ้น
ข. อริยมคฺโค คือมัคคจิตทั้ง ๔
ค. ภาสิตํ คือพระธรรมทั้ง๓ ปิฎก
ง. กุสลจิตฺตํ คือกุศลจิต ๑๗ ดวง
จ. อกุศลจิตฺตํ คือ อกุศลจิต ๑๒ ดวง
๓. นิรุตฺติปฏิสมฺภิทาญาณ ปัญญาแตกฉานในภาษา คือบัญญัติแห่งอัตถะปฏิสัมภิทาและธัมมะปฏิสัมภิทาย่อมมีด้วย
นิรุตติใด ความรู้แตกฉานในอันกล่าว ธมฺมนิรุตฺติ นั้น ชื่อว่า นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ
หมายความว่ารู้จักถ้อยคำหรือ
ภาษาอัน เป็นบัญญัติที่เรียกว่า โวหารในการอธิบายขยายความแห่งอัตถปฏิสัมภิทาและธัมมปฏิสัมภิทา
ให้ผู้สดับ
ตรับฟังรู้และเข้าใจ ได้แจ่มแจ้งลึกซึ้งโดยถ้วนถี่ เช่นนี้เป็นต้น
๔. ปฏิภาณปฏิสมฺภิทาญาณ ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ คือมีปัญญาว่องไว
ไหวพริบ เฉียบแหลม คมคาย ในการตอบโต้อัตถปฏิสัมภิทา ธัมมปฏิสัมภิทา และนิรุตติปฏิสัมภิทา
ทั้ง ๓ นั้น ได้อย่างถูกต้อง คล่องแคล่วชัดแจ้ง
โดยฉับ พลันทันที ความรู้แตกฉานเช่นนี้แหละชื่อว่า ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ