การฟ้องขับไล่ หากคุณอยู่ในที่ดินของผู้อื่น
แล้วเจ้าของเขาไม่ประสงค์จะให้คุณอยู่อีกต่อไป คุณก็มีหน้าที่ที่จะต้องขนย้ายทรัพย์สินต่างๆของคุณออกไปจากที่ของเขา
หากคุณไม่ย้ายเจ้าของที่เขาก็จะฟ้องขับไล่คุณออกไป แม้นว่าการอยู่ของคุณจะเป็นการเช่าก็ตาม
แต่เมื่อเขาไม่ประสงค์จะให้คุณอยู่ต่อ คุณก็ไม่มีสิทธิที่จะไปบังคับเขา เว้นเสียแต่ว่าการเช่าของคุณนั้นมีหลักฐานเป็นหนังสือ
และระบุระยะเวลาการเช่ากันไว้ ซึ่งอาจจะเป็น 1 ปี, 2 ปี, หรือ 3 ปีก็แล้วแต่ เขาจึงยังไม่มีสิทธิมาไล่คุณจนกว่าจะถึงกำหนด
สัญญาเช่านั้นถ้าทำหลักฐานเป็นหนังสือเพียงอย่างเดียว
กฎหมายบอกว่าคุณกำหนดระยะเวลาได้มากที่สุดแค่ 3 ปีเท่านั้น ถ้ากำหนดมากกว่านั้น ก็จะฟ้องร้องบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาได้แค่
3 ปี ส่วนที่เกินบังคับกันไม่ได้ หากว่าคุณอยากจะทำสัญญามากกว่า 3 ปี คุณจะต้องนำหนังสือเช่านั้น
ไปจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดิน กฎหมายจึงจะบังคับให้คุณ โดยให้คุณกำหนดได้เต็มที่คือไม่เกิน
30 ปี หรือถ้าไม่กำหนดเป็นปี ก็อาจจะกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าได้เหมือนกัน สรุปว่า
ถ้าทำสัญญาเช่าไม่เกิน 3 ปีทำเป็นหนังสืออย่างเดียวพอ ถ้าเกิน 3 ปี ถึง 30 ปี หรือตลอดอายุของผู้เช่า
ต้องจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดินด้วย กรณีที่คุณอยู่โดยไม่ได้เช่าก็ไม่ต้องพูดถึง
ถ้าเขาบอกให้คุณย้ายคุณก็ต้องย้าย ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆเลย บางคนมีความเข้าใจผิดๆ ว่าถ้าเจ้าของที่เขาไล่แล้ว
จะต้องจ่ายค่าขนย้ายให้ ซึ่งตรงนี้กฎหมายไม่ได้บังคับให้เจ้าของที่ต้องไปจ่าย ผู้อยู่อาศัยก็ไม่มีสิทธิไปเรียกร้อง
แต่ที่ผ่านมาเจ้าของที่จะจ่ายให้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าเป็นการตัดความรำคาญ และจำนวนเงินอยู่ในระดับที่พอจะจ่ายได้
ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันตลอดมา หากว่าไปเจอเจ้าของที่ไม่ยอมจ่ายคุณก็ไม่ได้อะไรเลย
แถมบางที่เขาอาจจะเรียกให้คุณจ่ายด้วย เป็นค่าละเมิดที่คุณไปอยู่ในที่เขาทำให้เขาได้รับความเสียหาย
ซึ่งถ้าคุณไม่อยู่ในที่เขา เขาอาจเอาที่นี้ไปใครคนอื่นเช่าได้ ทางที่ดีหากคุณอยากได้ค่ารื้อถอน
คุณควรจะพูดกับเจ้าของที่ดีๆ ให้เขาเห็นใจคุณ อย่าไปพูดว่าถ้าไม่จ่ายให้ก็จะไม่ย้ายไป
ไม่งั้นผมว่าเขาฟ้องคุณแน่ๆ ถ้าเกิดคุณโดนฟ้องไปแล้วจะทำยังไง
ส่วนมากคดีแบบนี้ไม่มีทางชนะได้เลย เพราะว่าโจทก์พิสูจน์ได้ว่าเป็นเจ้าของที่เท่านั้น
โจทก์ก็ชนะแล้ว จำเลยจะมีข้อต่อสู้เพียงอย่างเดียวคือสู้ว่าได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินนั้นแล้ว
แต่การครอบครองปรปักษ์นั้น คุณจะต้องอยู่บนที่ดินของเขา โดยความสงบและเปิดเผย
มีเจตนาแสดงความเป็นเจ้าของเกิน 10 ปี จึงจะได้การครอบครองปรปักษ์ และถ้าคุณสู้ไปประเด็นนี้
โอกาสที่จะชนะก็น้อยเต็มที เพราะการที่จะพิสูจน์ว่าคุณได้ครอบครองปรปักษ์นั้น เป็นการพิสูจน์ที่ยากมาก
นอกจากจะพิสูจน์ได้ชัดเจนจริงๆ ศาลจึงจะพิพากษาให้คุณชนะคดี ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ถูกฟ้องขับไล่ก็คือ
ถ้าโจทก์เป็นเจ้าของที่จริงๆแล้ว คุณไม่ต้องไปสู้เขาหรอก คุณไปศาลตามวันที่ศาลนัด
เมื่อศาลพิจารณาคดีคุณก็แจ้งต่อศาลว่า จะขอประนีประนอมยอมความกับโจทก์ โดยคุณอาจจะขอเวลาสักระยะหนึ่งเพื่อหาที่อยู่ใหม่
หรืออะไรก็แล้วแต่ที่โจทก์ยอมให้คุณ เพราะคดีแบบนี้ส่วนมากแล้วศาลจะพยายามไกล่เกลี่ยให้คุณก่อน
ไม่ว่าคุณจะมีทนายหรือไม่ก็ตาม ถ้าไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จศาลจึงจะดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษา
ถ้าคุณต่อสู้คดีโดยที่ไม่มีเหตุให้ต่อสู้แล้ว คุณจะมีแต่เสียกับเสียอย่างเดียว ไม่ว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
ค่าทนาย และยังเสียเวลาทำมาหากินโดยเปล่าประโยชน์ ฉะนั้น ไม่ว่าคดีอะไรก็ตาม ก่อนที่คุณคิดจะสู้คดี
พึงระลึกไว้เสมอว่าคุณมีข้อต่อสู้กับเขาหรือไม่ ถ้าไม่มีก็อย่าไปสู้ดีกว่า เสียเงินเสียเวลาเปล่าๆ
แต่ถ้าคุณมีข้อต่อสู้ เช่น มีสัญญาเช่ากันไว้และยังไม่ถึงกำหนดเวลาตามสัญญา โจทก์ยังไม่มีสิทธิขับไล่
อย่างนี้ก็สู้คดีไปเถอะ |