|
|
|
วานรพงศ์ วานรที่ปรากฎนามในบทละครเรื่องรามเกียรติ์
มีทั้งสิ้น 38 ตัว แบ่งเป็นพญาวานร 11
ตัว วานรสิบแปดมงกุฎ 18 ตัว วานรเตียวเพชร
9 ตัว วานรจังเกียงและเขนลิง ไม่ปรากฎว่ามีกี่ตัวและมีชื่ออะไรบ้าง
มีบทบาทมากน้อยตามลำดับ วานรเหล่านี้โดยมากเป็นบุตร
เทพเทวดา หรือเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าและเป็นการอวตารลงมาเพื่อช่วยพระรามปราบเหล่าอสูรอธรรม
|
|
|
|
ชามพูวราช(ชมพูหมี) หรือนิลเกสร-พญาวานร
ลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้าสีแดงชาด
สวมมงกุฎชัย ในตอนที่แปลงกายเป็นหมีมีชื่อว่าชมพูหมี
หัวโขนทำเป็นหน้าหมี สวมเทริดยอดน้ำเต้า
ตามประวัติกล่าวว่าพญาวานรนี้มีกำเนิดจากไม้ไผ่ซึ่งผุดขึ้นขณะฤาษีสุขวัฒนบำเพ็ญฌาณ
ฤราษีได้นำไปถวายพระอิศวร ทรงนำไปทำธนู ครั้งโก่งะนุหักเป็น
2 ท่อน ธนูเกิดเป็นพญาอสูรชื่อเวรัมภ์ ปลายธนูเกิดเป็นพญาวานรชื่อนิลเกสร
ชื่อ ชามพูวราช
บทบาทสำคัญคือ เป็นผู้แนะนำให้พระรามจองถนนไปกรุงลงกาเพื่อสร้างพระเกียรติยศให้ปรากฎตอนอินทรชิตทำพิธีชุบศรนาคบาศก็เป็นผู้ไปทำลายพิธีโดยแปลงกายเป็นหมี
|
|
|
หนุมาน-พญาวานร
ลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้า
สีขาวผ่อง หัวโล้น สวมมาลัยทอง มีเขี้ยวแก้วอยู่กลางเพดานปากนอกจากนี้ยังมีการทำหัวโขนหน้าหนุมานอีกหลายแบบ
คือ ตอนแผลงฤทธิ์มี 4 หน้า เป็นหน้าปกติ 1
หน้าและมีหน้าเล็ก 3 หน้าที่ด้านหลัง
ตอนทรงเครื่อง
(อาสาพระรามล่อลวงทศกัณฐ์) สวมชฎายอดกาบไผ่เดินหนของอินทรชิตตอนครองเมืองสวมมงกุฎยอดชัย
ตอนออกบวชสวมชฎายอดฤษี นอกจากนี้ยังมีการทำหน้าหนุมานเป็นหน้ามุกอีกด้วย
ในบทละครเรื่องรามเกียรติ์พระราชนิพนธ์รัชกาลที่
1 กล่าวว่าหนุมานเป็นบุตรพระพายกับนางสวาหะ
เกิดวันอังคาร เดือนสาม ปีขาล คลอดออกมาจากปากแม่
ตัวโตเท่ากับอายุสิบหกปี แผลงฤทธิ์เป็นสีสี่หน้าแปดมือ
หาวเป็นดาวเป็นเดือน มีกุณฑลขนเพชรเขี้ยวแก้วถวายตัวต่อพระราม
เป็นผู้ทำการสำคัญ ๆ หลายครั้งในศึกกรุงลงกา
เมื่อเสร็จศึกพระรามประทานความชอบให้เป็นพระยาอนุชิตจักรกฤษณ์พิพัฒน์พงศา
ครองเมืองนพบุรี ได้นางบุษมาลี นางเบญจกาย
นางสุพรรณมัจฉา นางวานริน และนางสุวรรณกันยุมาเป็นเมีย
มีบุตรชื่อมัจฉานุ เกิดกับนางสุพรรณมัจฉา)และ
อสูรผัต (เกิดกับนางเบญจกาย)
|
|
|
มัจฉานุ - พญาวานร
ลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้าสีขาวผ่อง
หัวโล้น สวมมาลัยทอง มัจฉานุ ตัวเป็นวานร หางเป็นปลา
เป็นบุตรหนุมานกับนางสุพรรณมัจฉา ต่อมาได้เป็นบุตรบุญธรรมของไมยราพณ์
เมื่อหนุมานฆ่าไมยราพณ์ตายได้ตั้งมัจฉานุเป็นอุปราชเมืองบาดาล
ต่อมาพระรามตัดหางที่เป็นปลาออก ตั้งให้เป็นพญาหนุราช
ครองเมืองมลิวัน มีชายาชื่อนางรัตนมาลี
|
|
|
สุครีพ-พญาวานร
ลัษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้าสีแดงเสน
หรือสีแดงชาด สวมชฎายอดบัด(บางแห่งว่าชฎายอดเดินหน)
ตามประวัติกล่าวว่าเป็นโอรสพระอาทิตย์กับยนางกาลอัจฉาต้องคำสาปจากฤาษีโคดมเช่นเดียวกับพญากากาศ
บทบาทสำคัญ คือ อาสาทำให้เขาพระสุเมรุซึ่งเอียงด้วยรามสูรจับอรชุนฟาดให้ตั้งตรงตามเดิม
ต่อมาได้ถวายตัวต่อพระรามและได้ครองเมืองขีดขินแทนพาลี
เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดทัพออกรบทุกครั้งในศึกกรุงลงกา
เมื่อเสร็จศึกได้บำเหน็จความเป็นพญาไวยวงศามหาสุรเดช
ได้นางดาราเป็นชขายาหลังจากพาลีตาย
|
|
|
องคต-พญาวานร
ลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากหุบสัณฐานปากคล้ายแพะสีเขียวมรกต
หรือสีเขียวกลาง สวมมงกุฎสามกลีบ องคตเป็นบุตรพญาพาลีกับนางมณโฑ
ฤาษีอังคตทำพิธีผ่าตัดออกจากครรภ์นางมณโฑ แล้วไปใส่ในท้องแพะ
สุครีพนำถวายตัวต่อพระราม มีบทบาทในการเป็นทูตสื่อสารให้ทศกัณฐ์คืนนางสีดา
และฆ่าสี่เสนายักษ์ตาย ครั้นเสร็จศึกได้ความดีความชอบเป็นพญาอินทรานุภาพ
อุปราชเมืองขีดขิน
|
|
|
ท้าวมหาชมพู - พญาวานร
ลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้าสีขาบ
หรือสีดังปีกแมลงทับ สวมชฎาหรือมงกุฎยอดชัย
มีฤทธิ์เดชมากไม่ยอมไหว้ใครนอกจากพระนารายณ์และพระอิศวร
ปกครองเมืองชมพู เป็นพันธมิตรกับพญากากาศ เมืองขีดขิน
ท้าวมหาชมพูนี้มีมเหสีชื่อนางแก้วอุดร ไม่มีบุตรธิดา
ได้ถวายพลกรุงชมพูให้แก่พระราม เมื่อทราบว่าพระรามคือพระนารายณ์อวตาร
|
|
|
นิลพัท - พญาวานร
ลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้าสีน้ำรัก
หรือสีดำขลับ หัวโล้น สวมมาลัยทอง
เป็นบุตรพระกาลซึ่งพระอิศวรประทานให้ไปอยู่ช่วยกิจการบ้านเมืองของท้าวมหาชมพู
บทบาทของนิลพัทในเรื่องรามเกียรติ์เป็นผู้คุมวานรเมืองชมพูจองถนนข้ามกรุงลงการ่วมกับหนุมาน
ซึ่งคุมวานรเมืองขีดขิน เกิดทะเลาะวิวาทกัน
พระรามลงโทษให้ไปรักษากรุงขีดขิน โดยส่งเสบียงแก่กองทัพเดือนละครั้ง
อาสาเป็นทัพหน้าครั้งกบฏกรุงลงกา เสร็จศึกได้ศักดิ์เป็นพญาอภัยพัทวงศ์
อุปราชเมืองชมพู
|
|
|
นิลนนท์ - พญาวานร
ลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้าสีหงสบาท
หรือสีหงเสนเจือเหลือง หัวโล้น สวมมาลัยทอง
ประวัติกล่าวว่าพญาวานรนี้เป็นบุตรพระเพลิง
มีบทบาททำลายพิธีทศกัณฐ์ตั้งอุโมงค์ร่วมกับสุครีพและหนุมาน
เสร็จศึกลงกาได้เป็นอุปราชเมืองชมพู เมื่อครั้งศึกพระพรตรบท้าวจักรวรรดิ
นิลนนท์เป็นทูตสื่อสารเพื่อให้ยอมอ่อนน้อม การเจรจาความครั้งนี้
นิลนนท์ได้ทำการหักยอดปราสาทไปถวายพระพรต
|
|
|
|