|  | 
                           
                            |  | 
                           
                            | 
                                 
                                  |  |  | สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ 
                                    ทรงกล่าวไว้ว่า " การแสดงโขนเชื่อว่ามีมาแต่โบราณประมาณกันว่าไทยมี
 การแสดงโขนมาก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๖" ทั้งนี้ได้อาศัยหลักฐานจากการสันนิษฐานลายแกะสลักเรื่อง"รามายณะ" 
                                    จากแหล่งโบราณคดีหลายแหล่ง และจากตำนานการแสดงโขนในกฎมณเฑียรบาล 
                                    โขนแต่เดิมจึงมีเฉพาะโขนหลวงประจำราชสำนัก ผู้ที่จะฝึกหัดโขนต้องเป็นผู้มีบรรดาศักดิคนธรรมดาสามัญจะฝึกหัดโขนไม่ได้จึงกลายเป็นประเพณีสืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ 
                                    ที่พวกที่ฝึกหัดโขนมักเป็นมหาดเล็กหรือบุตรหลานข้าราชการต่อมามีความนิยมที่ว่าการฝึกหัดโขนทำให้ชายหนุ่มที่ได้ฝึกหัดมีความคล่องแคล่วว่องไวในการรบ
 |  | 
                           
                            | 
                                 
                                  | หรือต่อสู้กับข้าศึก 
                                    จึงมีการพระราชทานอนุญาตให้เจ้านาย และขุนนางผู้ใหญ่ตลอดจนผู้ว่าราชการเมืองฝึกหัดโขนได้ 
                                    โดยคงโปรดให้หัดไว้แต่โขนผู้ชายตามประเพณีเดิม 
                                    เพราะโขน และละครของเจ้านายผู้สูงศักดิ์หรือข้าราชการก็ต้องเป็นผู้ชายทั้งนั้น 
                                    ส่วนละครผู้หญิงจะมีได้แต่ของพระมหากษัตริย์ 
                                    ด้วยเป็นประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา 
                                    ต่อมาภายหลังความนิยมโขนก็เริ่มเสื่อมลง เนื่องจากระยะหลังเจ้าของโขนมักเอาคนพวกลูกหมู่ 
                                    (หมายเหตุ : คนที่ขึ้นอยู่ในสังกัดกรมต่างๆตามวิธีควบคุมทหารแบบโบราณ 
                                    ซึ่งจัดแบ่งการปกครองท้องที่ออกเป็นมณฑล คนในมณฑลไหนก็สังกัดเข้ามณฑลนั้น 
                                    เมื่อมีลูกก็ต้องให้เข้ารับราชการในหมวดหมู่ของกรมเมื่อโตขึ้น 
                                    เรียกว่า "ลูกหมู่") และลูกทาสมาหัดโขน 
                                    ทำให้ผู้คนเริ่มมองว่าผู้แสดงเหล่านั้นต่ำเกียรติ 
                                    อีกเหตุผลหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงประเพณีโบราณในสมัยรัชกาลที่ 
                                    ๔ ที่ทรงพระราชทานอนุญาตให้พระบรมวงศานุวงศ์ 
                                    และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อยมีละครผู้หญิงได้ 
                                    โดยทรงมรพระราชปรารภว่า "มีละครด้วยกันหลายรายดี 
                                    บ้านเมืองจะได้ครึกครื้น จะได้เป็นเกียรติแก่แผ่นดิน" 
                                    พระราชดำรินี้มีเพื่อความเจริญก้าวหน้าของศิลปะการละคร 
                                    และประเทศชาติ แต่ก็ทำให้เจ้าสำนักต่างๆพากันเปลี่ยนผู้แสดงจากชายเป็นหญิงจำนวนมาก 
                                    ยกเว้นบางสำนักที่นิยมศิลปะแบบโขน ทั้งยังมีครูบาอาจารย์ 
                                    และศิลปินโขนอยู่ก็รักษาไว้สืบต่อมา โขนในสำนักของเจ้านาย 
                                    ขุนนาง และเอกชนจึงค่อยๆสูญหายไป คงอยู่แต่โขนของหลวง 
                                    ในสมัยรัชกาลที่ ๕ บรรดาโขนหลวงที่มีอยู่ก็มิได้ทำงานประจำ 
                                    ใครเล่นเป็นตัวอะไรทางราชการก็จ่ายหัวโขนที่เรียกกันว่า 
                                    "ศีรษะครู" ให้ประจำตัวไปบูชา และเก็บรักษาไว้ที่บ้านเรือนของตน 
                                    เวลาเรียกตัวมาเล่นโขนก็ให้เชิญหัวโขนประจำตัวนั้นมาด้วย |  | 
                           
                            | 
                                 
                                  |  |  | กำเนิดโขน โขน เป็นมหรสพชั้นสูงที่ใช้แสดงในงานสำคัญๆมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเช่นเดียวกับหนังใหญ่เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่โบราณประมาณก่อนพุทธศตวรรษที่ 
                                    ๑๖ โดยสันนิษฐานว่า "โขน" ได้พัฒนามาจากการแสดง 
                                    ๓ ประเภท คือ
 ๑.การแสดงชักนาคดึกดำบรรพ์
 การแสดง "ชักนาคดึกดำบรรพ์" มีกล่าวไว้ในกฎมณเฑียรบาลสมัยกรุงศรีอยุธยากล่าวถึงพระราชพิธีอินทราภิเษกว่า"ในการพระราชพิธีอินทราภิเษกปลูกเขาพระสุเมรุ(หมายเหตุ 
                                    : สร้างจากโครงไม้ไผ่ แล้วปิดทับด้วยกระดาษ 
                                    แล้วจึงทาสีให้แลดูเหมือนภูเขา)
 |  | 
                          
                            | 
                                
                                  | สูงเส้นหนึ่งกับ 
                                    ๕ วา ที่กลางสนาม ตั้งภูเขาอิสินธร ยุคนธร สูงสักหนึ่ง 
                                    และภูเขากรวิกสูง ๑๕ วาที่เชิงเขาทำเป็นรูปพญานาคเจ็ดเศียรเกี้ยว 
                                    (หมายเหตุ : รัด)พระสุเมรุ แล้วตำรวจแต่งเป็นรูปอสูร 
                                    ๑๐๐มหาดเล็กแต่งเป็นเทพยดา๑๐๐ และแต่งเป็นพาลี 
                                    สุครีพ มหาชมพู และบริวารวานรรวม ๑๐๓ ชักนาคดึกดำบรรพ์โดยมีอสูรชักหัว 
                                    เทพยดาชักหาง ส่วนวานรอยู่ปลายหางครั้นถึงวันที่ 
                                    ๕ ของพระราชพิธีเป็นวันกำหนดให้ชักนาคดึกดำบรรพ์ 
                                    และวันที่ ๖ เป็นวันชุบน้ำสุรามฤตตั้งน้ำสุรามฤต 
                                    ๓ ตุ่ม ตั้งช้าง ๓ ศีรษะ ม้าเผือก อศุภราช (หมายเหตุ 
                                    : โคซึ่งเป็นเทพพาหนะของพระอิศวร)ครุฑธราช นางดาราหน้าฉาน 
                                    ตั้งเครื่องสรรพยุทธ เครื่องช้าง และเชือกบาศหอกชัยตั้งโตมรชุบน้ำสุรามฤตเทพยดาผู้เล่นดึกดำบรรพ์ 
                                    พร้อมด้วยรูปพระอิศวร พระนารายณ์ พระอินทร์ 
                                    พระวิศวกรรม ถือเครื่องสำรับตามธรรมเนียม เข้ามาถวายพระพร"พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 
                                    ทรงพระราชนิพนธ์เล่าเรื่อง "กวนน้ำอมฤต" 
                                    ไว้ในหนังสือ "บ่อเกิดรามเกียรติ์" 
                                    ไว้ว่า "เทวดา และอสูรอยากจะใคร่อยู่ยงพ้นจากความตายจึงชวนกันกวนเกษียรสมุทรทำน้ำอมฤต 
                                    เอาเขามนทรคีรีเป็นไม้กวน เอาพญาวาสุกรี(หมายเหตุ 
                                    : พญานาคเจ็ดเศียร) เป็นเชือก พญาวาสุกรีพ่นพิษเป็นไฟพากันได้ความเดือดร้อนพระนารายณ์จึงเชิญให้พระอิศวรเสวยพิษเพื่อดับความเดือดร้อน 
                                    พระอิศวรก็เสวยพิษเข้าไป (หมายเหตุ : พระศอของพระอิศวรจึงเป็นสีนิลเพราะผลแห่งพิษนั้น)เทวดาและอสูรชักเขามนทคีรีหมุนกวนไปอีกจนเขาทะลุลงไปใต้โลกพระนารายณ์จึงอวตารเป็นเต่าไปรองรับเขามนทคีรีไว้มิให้ทะลุลงไปได้อีก 
                                    การกวนจึงกระทำต่อไปได้สะดวก เทวดากับอสูรทำสงครามกันชิงน้ำอมฤต 
                                    พระนารายณ์ฉวยน้ำอมฤตไปเสียพ้นจากฝั่งเกษียรสมุทรแล้ว 
                                    พวกอสูรมิได้กินน้ำอมฤตก็ตายในที่รบเป็นอันมาก 
                                    เทวดาจึง ได้เป็นใหญ่ในสวรรค์"สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงประทานอธิบายไว้ว่า 
                                    การแสดงชักนาคดึกดำบรรพ์นี้ เป็นการแสดงตำนานทางไสยศาสตร์เพื่อให้เกิดสวัสดิมงคล
 
 ๒. การแสดงกระบี่กระบอง
 ในสมัยโบราณคนไทยจะฝึกวิชาการต่อสู้ไว้สู้รบกับข้าศึก 
                                    และเพื่อป้องกันตัว อาวุธที่ใช้ในการต่อสู้ก็มีทั้งอาวุธสั้น 
                                    และอาวุธยาว เช่น มีด ดาบ หอก ไม้พลอง ฯลฯ อันเป็นที่มาของวิชากระบี่กระบอง 
                                    วิชากระบี่กระบองนอกจากเป็นศิลปะการป้องกันตัวในสมัยโบราณแล้วยังสามารถนำไปแสดงเป็นมหรสพได้อีกประเภทหนึ่งจนกระทั่งได้รับการปรับปรุงนำมาผสมผสานกับการแสดงโขนในเวลาต่อมา
 
 ๓. การแสดงหนังใหญ่
 การแสดงหนังใหญ่ เป็นมหรสพที่สำคัญในสมัยอยุธยาตอนต้นดังมีปรากฏในกฎมณเฑียรบาล 
                                    หนังใหญ่นั้นตัวหนังจะทำจากหนังวัวฉลุเป็นรูปตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์มีไม้ผูกทาบตัวหนังไว้ทั้งสองข้างโดยผูกให้พ้นตัวหนังลงมาพอสมควรเพื่อใช้มือจับสำหรับเชิด 
                                    หนังใหญ่ให้อิทธิพลกับโขน ๒อย่างคือ เรื่องราวที่ใช้แสดงเป็นเรื่องรามเกียรติ์ 
                                    และลีลาการเชิดหนังซึ่งยอมรับกันว่าเป็นท่าแสดงของโขนในเวลาต่อมา 
                                    โดยเฉพาะบทยักษ์หรือที่เรียกกันว่า "เต้นโขน"
 |  | 
                          
                            |  |